เมื่อพรรคลุย "เกมข้างถนน"

วันพุธที่ 07 สิงหาคม พ.ศ. 2556

เมื่อพรรคลุย


ชะรอยการเมืองประเทศไทยคงจะต้องเตาะแตะต้วมเตี้ยมกับระบอบประชาธิปไตยช้ำหนองไปอีกนาน ถ้าพรรคประชาธิปัตย์ได้ตัดสินใจแล้วว่า จะเดินเกมปราศรัยตามข้างถนนคู่ขนานไปกับรัฐสภา

เพราะคิดว่า ไม่มีอะไรจะเสียอีกแล้ว

ในห้วงปิดสมัยประชุม พรรคประชาธิปัตย์แสดงความขยันด้วยการเดินเกมปราศรัยอย่างเข้มข้นคู่กับสถานีโทรทัศน์ดาวเทียม "บลูสกาย" จนรู้สึกว่า บรรยากาศและอารมณ์ของประชาชนส่วนหนึ่งเริ่ม "ติดกระแส" ค่อนข้างจะ "เข้าเส้น" ขณะเดียวกับฝ่ายรัฐบาลก็ไล่แก้เกมที่เพลี่ยงพล้ำเรื่อง "คลิปเสียง" และ "จำนำข้าว" ให้รอดตัวได้ระดับหนึ่ง

แต่ทุกอย่างดูเหมือน "โอกาส" จะเป็นใจให้กับพรรคประชาธิปัตย์มากกว่า เนื่องจากพรรคเพื่อไทยนอกจากเพิ่งผ่านพ้นการปรับ ครม. ทำให้นักการเมืองบางคนผิดหวัง และบางคนสมหวังเป็นเพียงภาพที่ไม่ได้คะแนนนิยมจากประชาชนแล้ว

"ม็อบเสื้อแดง" ที่เคยเป็น "กำแพงเหล็ก" ให้พรรคเพื่อไทยมาก่อน กลับสงวนท่าทีไม่เคลื่อนไหวทางการเมืองเพื่อคานพลังม็อบของฝ่ายตรงข้ามอย่างผิดสังเกต

จึงดูเหมือนแกนนำม็อบชุดใหม่สายแช่แข็งประเทศไทยที่ออกมาประกาศ ชัดว่า ต้องการ "โค่นระบอบทักษิณ" ซึ่งๆ หน้า ด้วยการแสดงพลังให้เห็น ก่อนที่สภาผู้แทนจะเริ่มพิจารณา พ.ร.บ.นิรโทษกรรม

สอดรับเป็นเนื้อเดียวกันกับแนวคิดของพรรคประชาธิปัตย์เดี๊ยะ

ทำให้ทบทวนย้อนหลังนึกไปถึงยุคปี 2553 ที่ม็อบเสื้อแดงเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับพรรคเพื่อไทย และต่อสู้เลือกตั้งชนะพรรคประชาธิปัตย์มาแบบถล่มทลาย

นักวิชาการหลายท่านเคยคาดสถานการณ์การเมืองไทยที่มีสภาพเหมือน "Dead lock" เมื่อฝ่ายหนึ่งขึ้นเป็นรัฐบาลท่ามกลางความขัดแย้งที่แก้ไม่ตก อีกฝ่ายหนึ่งที่กลับเป็นฝ่ายค้านพยายามกล่าวหาว่าฝ่ายรัฐบาลเป็นเผด็จการเสียงข้างมาก ทำให้เกิดกล่าวหาซึ่งกันและกันโดยไม่ยอมรับว่าตัวเองเป็นฝ่ายผิดสถานการณ์ก็กลายเป็น "ขัดแย้งเรื้อรัง" ถึงขั้นขัดแย้งถาวร

เพียงแต่รอวันระเบิดทำลายล้างทั้งสองฝ่ายให้เสียหายด้วยกันเมื่อไหร่เท่านั้น

แม้ว่าพรรคเก่าแก่อย่างประชาธิปัตย์อาจบอกว่า ได้แสดงบทบาททางการ เมืองในระบอบประชาธิปไตยอย่างเต็มที่ ทั้งๆ ที่ผู้คนก็พอรู้ทันว่ามีเบื้องหลังที่สมาชิกเคยร่วมขบวนเสื้อเหลืองยุให้ทหารปฏิวัติเมื่อปี 2549 และเคยเป็นใจให้กองทัพแสดงอิทธิพลแยกพรรครัฐบาลให้เป็น "งูเห่า" มาเข้าร่วมเป็นรัฐบาลกับพรรคประชาธิปัตย์อย่างที่นักการเมืองซึ่งมีจิตสำนึกศรัทธาประชาธิปไตยไม่ควรทำ แต่ประวัติศาสตร์การเมืองไทยก็บันทึกเรื่องราวดังกล่าวได้สมบูรณ์ยิ่ง... โดยไม่แยแสว่าใครจะละอายแก่ใจ

กติกาการเมืองไทยมักถูกอ้างมาเสมอว่า ไร้บทบัญญัติใดๆ ว่า เป็นบาปที่ไม่พึงกระทำ

เมื่อพรรคประชาธิปัตย์ลงมาเดินกลางสนามหรือข้างถนน และปลุกเร้าผู้คนไม่ต่างกับม็อบสีเสื้อต่างๆ ได้ ก็เป็นที่เข้าใจอย่างไม่ยากเย็นว่า ต่อไปนี้พรรคการเมืองทุกพรรคก็พร้อมที่จะใช้เวทีนอกสภาเป็น "สนามรบ" แสดงข้อมูลโดยไม่ต้องกลั่นกรองใดๆ ให้ประชาชนลิ้มรสสดๆ คาวๆ ผสมขิงข่าพริกกระเทียมและสมุนไพรที่แสนเผ็ดมันเปรี้ยวเค็มตามอำเภอใจ

แปลว่า ขยันพูดไว้ จริงบ้างเท็จบ้างข้างละ 50 หรือโกหกทั้งร้อย ก็เหมือน โยน "เนื้อดิบ" ไปให้ม็อบแยกย่อยเอาเอง เพื่อจะได้รองรับกับทฤษฎีที่ว่า "ขยันพูดเท็จให้นานที่สุด แล้วความเท็จจะกลายเป็นความจริง"

สังคมไทยเพิ่งผ่านปรากฏการณ์ "แบดมินตันอัปยศ" ที่ประจานทั่วโลกมาหมาดๆ แม้จะมีการขอโทษขอโพยก็ไม่อาจลบรอยด่างจากวงการและผู้ก่อเรื่อง ไปตลอดชีวิตได้...ขณะเดียวก็เกิดสถานการณ์กองเชียร์ฟุตบอลสุโขทัยไล่ตีกับทีมพิษณุโลกเกลื่อนทั้งสนามด้วยความอดสูใจยิ่ง

2 กรณีที่เห็นพฤติกรรม "ไร้น้ำใจนักกีฬา" จึงอาจสะท้อนไปถึงจิตสำนึกและน้ำใจของนักการเมืองบ้านเราว่า ได้ยึดหลักกติกามารยาทเพื่อเป็นเยี่ยงอย่างแก่สังคมโดยส่วนรวมเป็นชีวิตจิตใจมากน้อยแค่ไหน

แบดมินตันก็ชั่ว กองเชียร์ฟุตบอลก็จุดอารมณ์คลั่งแค้นกันได้ทั้งสนาม ยิ่งเห็นนักการเมืองทำลายล้างกันโดยไม่สำนึกถึงคุณค่าของระบอบประชาธิปไตย "ขอให้ฝ่ายข้าเป็นผู้ชนะก็พอ" แม้บางกลุ่มจะไปก้มกราบเกือกท็อปบูตเพื่อปฏิวัติรัฐประหารก็เอา

สังคมไทยต้องการให้แผ่นดินไทยไร้ขื่อไร้ระบอบ เป็นสังคมศรีธนญชัยต่อไปยังงั้นหรือครับ?


บริษัท สมาร์ท โกลด์ มีเดีย กรุ๊ป จำกัด SMART GOLD MEDIA GROUP CO.,LTD. ติดต่อสอบถาม โทร : 0893284192 , ID Line : @siamturakij และ ฝ่ายโฆษณา siamturakijadvertising@gmail.com
© 2013 สยามธุรกิจ