ข้อเสนอปฏิรูปยุติขัดแย้ง "ยิ่งลักษณ์" ฝากรักและ "บอกรบ"

วันพุธที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2556

ข้อเสนอปฏิรูปยุติขัดแย้ง


วิเคราะห์การเมือง : by นพคุณ ศิลาเณร

หากปัดอคติทางการเมืองออกไป ย่อมเข้าใจเจตนาบริสุทธิ์และความจริงในเหตุผลของ "ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร" นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม ที่เสนอ "การปฏิรูปการเมือง" ขึ้นท่ามกลางสังคมเต็มไปด้วยความขัดแย้งเข้าขั้น "แตกหัก" ได้อย่างน่าสนใจ

น่าสนใจ เพราะข้อเสนอนี้มาเริ่มต้นในช่วง 2 ปีที่รัฐบาลทำงานมา การเกิดมาช้าเช่นนี้ ย่อมทำให้ฝ่ายตรงข้ามประเมินว่า เป็นกับดักมากกว่าเป็นเจตนาดีของ "มิตร" ที่แสวงหาหนทางไปสู่ความสงบสุขร่วมกัน

น่าสนใจกับข้อขังขาว่า การปฏิรูปการ เมืองเป็น "ทางออก" หรือเป็น "กลยุทธ์" ในการรุกทางการเมืองที่รัฐบาลผุดขึ้นมา ไล่ต้อนให้ฝ่ายต่อต้านต้องสูญเสียความน่าเชื่อถือ แล้วตลบหลัง ทำลายให้ย่อยยับ จนสิ้นซาก

รวมทั้งน่าสนใจอย่างยิ่ง เมื่อเพ่งพินิจ ถึง "ผลสำเร็จ" กับการละลายคู่ขัดแย้งจนอ่อนระทวย และให้ความร่วมมือ พร้อม ใจกันมาเจรจายุติความขัดแย้งเพื่อเริ่มต้น สร้างอนาคตให้ลูกหลานได้อยู่ในสังคมสันติอย่างยั่งยืน

แต่ทุกความน่าสนใจนั้น ยังไม่เท่าความน่าสนใจของฝ่ายค้าน กลุ่มต่อต้าน ที่ ส่งเสียงหัวเราะเอิ๊กอ๊ากกับข้อเสนอของ "ยิ่งลักษณ์" ราวกับร้องขอเจรจาสันติภาพกับขบวนการก่อการร้าย "บีอาร์เอ็น" ในจังหวัดชายแดนภาคใต้

ไม่เพียงเท่านั้น มวลชนเสื้อแดงยังออกอาการมึนงงกับแนวทางปฏิรูปการเมือง ที่ดูประหนึ่งเป็นการถอยร่นอย่างปอดแหก

ทั้งๆ ที่ข้อเสนอของ "ยิ่งลักษณ์" มากด้วยเจตนาแห่ง "มิตร" ไม่ใช่หลุมพรางของศัตรู แต่ในสถานการณ์ "คู่ขัดแย้ง" พันตูในสนามรบ จึงขาดสติแยกแยะและปัดโอกาสแห่งอนาคตทิ้งอย่างไม่ไยดี

ดังนั้น แม้ "ยิ่งลักษณ์" มีข้อเสนอดีๆ แต่ฝ่ายตรงข้ามประเมินว่า เป็นความ เพ้อฝันกลางสมรภูมิความขัดแย้ง และยาก จะทำให้เป็นผลสำเร็จ

ถึงที่สุด ยิ่งลักษณ์ยังมุ่งมั่นในข้อเสนอสุดเท่นี้ เธอบอกว่า ถึงมีโอกาสเพียง 1 เปอร์เซ็นต์ก็ต้องเดินหน้าต่อไป...นั่นเป็น ด้านดีของนายกรัฐมนตรีที่ไม่ท้อแท้ แม้อยู่ในช่วงยามสังคมวิกฤติและมืดมิดด้วยเหตุผลก็ตาม

+ ละลายฝ่าย-ยุติขัดแย้ง

ต้องเข้าใจก่อนว่า แนวคิดปฏิรูปการ เมืองของ "ยิ่งลักษณ์" เป็นเพียงข้อเสนอเพื่อกระตุ้นให้เกิดบรรยากาศปล่อยวาง ลดละความขัดแย้ง แล้วหลอมรวมใจหาแนวทางยุติความบาดหมางที่กำลังบานปลายในขณะนี้

แนวคิดเบื้องต้นของ "ยิ่งลักษณ์" ต้องการให้ทุกกลุ่มทางการเมืองมาร่วมกัน คิดหาหนทาง และ "ออกแบบ" แนวทางไปสู่การปฏิรูปการเมือง โดยมีรัฐบาลเป็น เจ้าภาพเชิญคนทุกกลุ่มมารวมแลกเปลี่ยน เพื่อสร้างสังคมปรองดองในอนาคตให้ลูกหลานอย่างยั่งยืน

แนวทางการปฏิรูปจะเป็นเช่นไร ยังไม่รู้ เพราะขึ้นอยู่ความเห็นของกลุ่มหลาก หลายในสังคมที่เต็มไปด้วยปัญหาความขัดแย้งต้องมาออกแบบสร้างอนาคตใหม่ทางการเมืองให้เกิดขึ้น

ยิ่งลักษณ์เสนอว่า "ขอเชิญชวนตัว แทนจากกลุ่มบุคคลทั้งฝ่ายรัฐบาลพรรค การเมือง แนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย สมาชิกวุฒิสภา องค์กรอิสระ เอกชน และนักวิชาการ มาร่วมโต๊ะ พูดคุย ออกแบบประชาธิปไตยของประเทศไทย เพื่อหาทางออกให้กับอนาคตของเรา เพื่อให้สอดคล้องกับสภาพสังคมไทย และเป็นที่ยอมรับของนานาอารยประเทศ"

ข้อเสนอนี้เกิดแรงสะท้อนกลับทันที "อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ" หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และแกนนำพรรคทั้งยวงบอก ปัดแบบไร้เยื่อใย พร้อมกับจับเป็นตัวประกัน เพื่อแลกเปลี่ยนให้รัฐบาลถอนกฎหมายนิรโทษกรรมออกจากสภาจึงจะเกิดการเริ่ม ต้นเจรจาด้วย

ฝ่ายพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย "ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์" เชื่อว่าเป็นข้อเสนอที่แปลกและมีเจตนาลดพลังกลุ่มต่อต้านรัฐบาล

พล.ร.อ.ชัย สุวรรณภาพ ประธานองค์การพิทักษ์สยาม (อพส.) และเสนาธิการกองทัพประชาชน ซึ่งระดมพลังชุมนุมไล่รัฐบาล บอกว่า ไม่เคยเชื่อถือรัฐบาลตั้งแต่การบริหารงานมา

ส่วนคนกันเอง ซึ่งอยู่ฝ่ายเดียวกัน แน่นอนต้องสนับสนุนและพร้อมสนองข้อเสนอของ "ยิ่งลักษณ์" ด้วยดี นายบรรหาร ศิลปอาชา ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา ในฐานะที่เป็นอดีตนายกรัฐมนตรีต้นแบบในการปฏิรูปการ เมืองให้การ "ตอบรับ" เข้าร่วมวงเสวนาเป็นคนแรก

ตามด้วย ศ.ดร.อุกฤษ มงคลนาวิน ประธานคณะกรรมการอิสระว่าด้วยการส่ง เสริมหลักนิติธรรมแห่งชาติ (คอ.นธ.) ให้คำมั่นสัญญามาร่วมเวทีปฏิรูปพร้อมๆกับเสนอตั้ง "สภาอาวุโส" ขึ้นมาเป็นคู่ขนาน

สิ่งสำคัญอยู่ที่ข้อเสนอของ "ยิ่งลักษณ์" มีเป้าหมายอยู่ที่การหว่านล้อมฝ่ายตรงข้าม หรือกลุ่มต่อต้านรัฐบาลให้มาตั้งวงเจรจาหาข้อยุติความขัดแย้ง ไม่ ใช่เรียกร้องให้ฝ่ายสนับสนุนหรือคนกันเอง มาระดมสมองหาทางออกด้วยการปฏิรูปการเมือง

เพียงข้อเสนอเริ่มต้นขึ้น ความหวังของยิ่งลักษณ์ก็มีค่าเป็น "ศูนย์" ความมุ่งมั่นจะทำงานให้สำเร็จ แม้มีโอกาสเพียง 1 เปอร์เซ็นต์ ก็ยังไม่มีเอาเสียเลย

+ ปฏิรูปในยุคสังคมวิกฤติ

เมื่อสังคมเกิดวิกฤติครั้งใหญ่ การปฏิรูปการเมืองถูกนำมาเป็น "ทางออก" อยู่เสมอ และประสบความสำเร็จ สามารถ คลี่คลายความขัดแย้ง หรือยื้อเวลาให้รัฐบาลหลีกหนีจากแรงกดดันได้เป็นอย่างดี

แต่แนวทางปฏิรูปการเมืองได้สะท้อน วิถีความสำเร็จอย่างชัดเจนคือ หนึ่งแนว ทางนี้ต้องผ่านพ้นในช่วงการเผชิญหน้าของ "คู่ขัดแย้ง" ไปแล้ว และสองฝ่ายชนะ ซึ่งมีลักษณะ "ก้าวหน้า" ในสังคมร่วมมือกันออก แบบแนวทางปฏิรูปสังคมขึ้นใหม่

ในวิกฤติสังคมเมื่อเหตุการณ์พฤษภาทมิฬปี 2535 พลังทหารถูกตีถอยร่นเข้า กรมกอง พลังนักธุรกิจ-ประชาชนเป็นฝ่ายชนะ แล้วกลายมาเป็น "ผู้แสดงอำนาจใหม่" และสร้างแนวทางปฏิรูปการเมืองให้สอดคล้องกับวิถีเศรษฐกิจทุนเสรีมากขึ้น

พลังประชาธิปไตยเรียกร้องให้เกิดการปฏิรูปการเมืองขึ้น ร.ต.ฉลาด วรฉัตร อดอาหารกดดันรัฐบาลนายชวน หลีกภัยในปี 2537 ให้เริ่มต้นสร้างกติกาไปสู่การสร้างสังคมการเมืองใหม่ แต่มาสำเร็จในยุครัฐบาลนายบรรหารปี 2539 จนเกิดผล ผลิตเป็น "รัฐธรรมนูญ 2540" ที่เรียกขานกันว่า ฉบับประชาชนให้กำเนิด

ข้อสังเกตมีว่า ตั้งแต่รัฐบาลชวน 1 มาถึงรัฐบาลบรรหารนั้น ประชาชนเป็นผู้แสดงอำนาจการเมือง แนวทางการปฏิรูป การเมืองจึงราบรื่น ได้รับการสนองตอบจากทุกฝ่าย เพราะไร้คู่ขัดแย้งหลักในสังคม แม้ใช้เวลาหลายปีก็ตาม แต่นั่นเป็นเพียงอาการสะดุดของเกมของพรรคการเมือง ที่ใช้การปฏิรูปมาถ่วงแรงกดดันและลดทอนแรงต่อต้านให้น้อยลง

สำหรับสถานการณ์ของรัฐบาลยิ่ง-ลักษณ์ขณะนี้ แตกต่างกันสิ้นเชิงในยุคการปฏิรูปการเมืองสร้างรัฐธรรมนูญ 2540 ขึ้น เพราะเกิดคู่ขัดแย้งในสังคมถึง 3 ฝ่าย ทั้งพรรคการเมือง กลุ่มอำนาจข้าราชการ และพลังภาคประชาชน โดยคู่ขัดแย้งเหล่า นี้ล้วนเผชิญหน้ากันรุนแรง ไม่มีแนวโน้มยุติ จนกว่าจะแตกหัก เหลือเพียงฝ่ายชนะจึงจะสร้างแนวทางใหม่ได้สำเร็จ

ท่ามกลางความขัดแย้งรุนแรงและบานปลายเช่นนี้ ยิ่งลักษณ์ชูธงปฏิรูปการเมืองเพื่อขอความร่วมมือจาก "คู่ขัดแย้ง" จึงเป็นสิ่งแปลก และยากจะได้รับสนับสนุนด้วยดี ดังนั้น โอกาสสำเร็จจึงแทบไม่มี

นี่เป็นการมองในด้านร้ายสุดๆ เพราะ ในความขัดแย้งมีแต่ความหวาดระแวงและ เต็มไปด้วยกับดักการทำลายล้างกันและกัน...ความปรารถนาดีเป็นได้เพียงสีสันทาง การเมืองหรือยุทธวิธียื้อเวลาให้รัฐบาลประคองตัวจากแรงต่อต้านได้เพียงช่วงระยะหนึ่งเท่านั้น

+ ไพ่ใบสุดท้าย-ฝากรัก หรือบอกรบ

เป็นสิ่งแปลกอย่างยิ่ง...ขณะที่ยิ่งลักษณ์เสนอแนวทางปฏิรูปการเมืองมาลด ความขัดแย้งในสังคม เพื่อสร้างมิติใหม่ให้ลูกหลานได้อยู่ในสังคมสงบสุขยั่งยืน

แนวทางปฏิรูปการเมือง แม้ถูกประเมิน จากฝ่ายต่อต้านว่าเป็นหลุมพรางของรัฐบาลเพื่อลดทอนแรงกดดันที่ถาโถมทั้งนอกและในสภา โดยมีจุดเริ่มต้นจากการพิจารณากฎหมายนิรโทษกรรมฉบับนายวรชัย เหมะ ส.ส.พรรคเพื่อไทย

แต่ยิ่งลักษณ์เสนอแนวคิดขึ้นมา ราว กับส่งสัญญาณแห่ง "มิตร" ให้ฝ่ายต่อต้านสร้างไมตรีเพื่อออกแบบสังคมสงบสุข น่าอยู่ และเต็มไปด้วยพลังสามัคคีในการพัฒนาประเทศ

ถ้าพิจารณาในเชิงอำนาจแล้ว ยิ่งลักษณ์คุมอำนาจบริหาร พรรคเพื่อไทยคุมอำนาจสภา แล้วยังประนีประนอมกับทหารได้ไม่มีวอกแวก อีกทั้งมีพลังมวลชน เสื้อแดงเป็นฐานกำลังคอยสนับสนุนด้วย อำนาจเหล่านี้ทำให้เธออยู่ในฝ่ายได้เปรียบ ทางการเมืองอย่างยิ่งยวด

เมื่อพิจารณาด้านดีแล้ว ย่อมเห็นเจตนาของยิ่งลักษณ์ที่ไม่ใส่ใจกับอำนาจเหล่านั้น เธออาจใสซื่อ ไร้เล่ห์กล ไม่มุ่งเอาแต่ชนะทางการเมืองเพื่อครองอำนาจ ในสังคม แต่กลับแปรอำนาจให้เป็น "พลังรักแห่งมิตร" เพื่อยุติความขัดแย้งในสังคม ด้วยการเปิดเวทีระดมความคิดมาสร้างสังคมสงบสุขด้วยกัน

ทั้งๆ ที่อำนาจของยิ่งลักษณ์เต็มไปด้วยรักแห่งมิตร แต่ด้านหนึ่งกลับปรากฏภาพของ "ทักษิณ ชินวัตร" จากแดนไกล ในอาการ "ชกกระสอบ" อย่างเมามันอารมณ์ ราวกับผู้ชนะออกแรงไล่ต้อนคู่ขัดแย้งให้สงบนิ่ง

ภาพชกกระสอบของทักษิณถูกแพร่ อย่างมีเจตนาและมีเป้าหมาย เพราะไม่ใช่ภาพหลุด แต่ถูกปล่อยออกมาจากฝีมือลูกสาวและขยายผลโดยลูกชายของเขาเอง

รหัสของภาพทักษิณชกกระสอบต้อง การส่งสัญญาณทางการเมืองอะไรกันแน่ และทำไมต้องการปล่อยภาพออกมาในช่วงยามสังคมเผชิญหน้าความขัดแย้งกันรุนแรงเช่นนี้...ตกลงต้องการสื่อสารว่า "บอกรักหรือบอกรบ" กันแน่!!

ถึงที่สุดแล้ว...ทั้งข้อเสนอแบบรักแห่งมิตรของยิ่งลักษณ์ และภาพชกกระสอบท่ามกลางความขัดแย้งระอุ ล้วน เป็น "ไพ่ใบสุดท้าย" ที่สองพี่น้องตระกูลชินวัตรงัดออกมาเล่นตามสไตล์ของแต่ ละคน แล้วยื่นเป็นไมตรีต่อฝ่ายตรงข้ามให้เลือกเอาระหว่าง "รักหรือรบ"

แน่ละ ไพ่ใบนี้ ย่อมไม่มีช่องวางให้แนวทางปฏิรูปการเมืองเกิดขึ้นได้อย่างง่ายดาย แต่กลับพังตั้งแต่เริ่มแล้ว


บริษัท สมาร์ท โกลด์ มีเดีย กรุ๊ป จำกัด SMART GOLD MEDIA GROUP CO.,LTD. ติดต่อสอบถาม โทร : 0893284192 , ID Line : @siamturakij และ ฝ่ายโฆษณา siamturakijadvertising@gmail.com
© 2013 สยามธุรกิจ