สะบัดร้อนสะบัดหนาว : ณรงค์ ปานนอก

อิหม่ามยะโก๊ป หร่ายมณี ได้เสียชีวิตแล้วเมื่อวันที่ 5 สิงหาคมที่ผ่านมา ท่ามกลางสายตาประชาชนที่ไปจับจ่ายซื้อของเพื่อเตรียมละศีลอดในเดือนรอมฎอน เดือนแห่งการบำเพ็ญบุญของชาวมุสลิม

อิหม่ามยะโก๊ปถูกคนร้ายยิงด้านหลังขณะเดินซื้อกับข้าวกับครอบครัว ในตลาดนัดปัตตานี ภาษาอาชญากรรมเรียกว่า "ฆ่าแบบเผาขน" ถือว่าสุดสยองยิ่ง

อิหม่ามยะโก๊ป ถือเป็นผู้นำจิตวิญญาณยุคใหม่คนหนึ่ง ที่พร่ำพูดแต่ความสามัคคีด้วยความสงบสันติใน 3 จังหวัดภาคใต้ และเผยแพร่หลักธรรมของศาสนา อิสลามบริสุทธิ์ด้วยความเมตตายิ้มแย้มแจ่มใส ปราศจากเลศนัยไม่เคยแคะคุ้ยประวัติศาสตร์ของแผ่นดินที่นั่น จนได้รับรางวัลผู้ทำคุณประโยชน์ด้านศาสนา วัฒนธรรมระดับประเทศมาแล้ว รวมทั้งรางวัลอื่นๆ อีกมากมาย

แม้กระทั่งเป็นผู้จัดรายการวิทยุ ท่านก็ยังได้รับรางวัลพระราชทาน ผู้ดำเนิน รายการดีเด่นจากสมาคมนักวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย ปี 2535

ผมในฐานะคนทำสื่อ อดชื่นชมอิหม่ามยะโก๊ปทุกครั้งที่ฟังท่านให้สัมภาษณ์ เรื่องปัญหาภาคใต้ด้วยถ้อยคำที่รื่นหูสบายใจ และอิ่มเอิบในหลักคิดจุดยืนของท่าน

ทำให้มองเห็นความหวังรำไรในอนาคตว่า 3 จังหวัดภาคใต้ ถ้ามีคนอย่างอิหม่ามยะโก๊ปมากขึ้นและขยายวงของผู้นำที่ชูความสงบสันติ อันเป็นแก่นแท้ ของศาสนาอิสลามแล้ว ย่อมจะลบล้างความคิดที่ติดยึดศาสนาอย่างไม่เข้าใจ และ ไม่เข้าถึงของบางกลุ่มคนผู้คลั่งศาสนาได้ซักวัน

ยิ่งเราได้เห็นข่าวการรบราฆ่าฟันของคนเผ่าพันธุ์เดียวกันในโลกตะวันออก กลางหลายชาติอย่างโหดอำมหิต ซึ่ง "เหยื่อบริสุทธิ์" เหล่านั้น ล้วนแล้วแต่เป็นมุสลิมีน...อดคิดเป็นปริศนาไม่ได้ว่า เขาทำเพื่อศาสนา เพื่อประชาชน เพื่อการล้างแค้น หรือเพื่อแย่งชิงอำนาจของแต่ละชนเผ่ากันแน่

ย้อนเกร็ดประวัติศาสตร์การเมืองไปถึงยุค มหาตมะ คานธี รัฐบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ของอินเดีย ที่ต่อสู้อังกฤษด้วยวิธีสันติ อหิงสา ใช้หลักปรัชญาจูงใจให้คนอินเดีย ทั้งประเทศรวมพลังรวมจิตใจเป็นหนึ่งเดียวเพื่อต่อสู้กับมหาอำนาจผู้รุกรานจากอังกฤษจนต้องถอยร่น ยอมแพ้แก่พลังความสามัคคีที่เด็ดเดี่ยว

แล้วมหาตมะ คานธี ก็สิ้นลมหายใจด้วยน้ำมือของคนอินเดียด้วยความเศร้า ด้วยความไม่เข้าใจ และความโง่เง่าที่ถูกครอบงำ ทั้งๆ ที่ท่านคานธีมีเพียงผ้าห่มกาย สีขาวผืนเดียว ไม่เคยคิดที่จะจับอาวุธขึ้นมาตอบโต้ต่อสู้ชาตินักล่าอาณานิคม จนอินเดียได้รับชัยชนะในที่สุด

ชีวิตท่านมหาตมะ คานธี ถือเป็นแบบอย่างนักการเมืองสายสันติ อหิงสา ที่ตายไปอย่างง่ายดายเพราะไม่เคยคิดที่จะต่อสู้กับใคร นอกจากวัตรปฏิบัติปกติและเผยแพร่หลักความรู้ความเข้าใจให้มนุษย์ทุกคนมีความรัก และดำรงชีวิตอย่างเรียบง่ายพอเพียง เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อกัน

พฤติกรรมของอิหม่ามยะโก๊ปไม่ได้แตกต่างไปจากมหาบุรุษผู้โด่งดังของโลก ท่านก็ใช้หลักศาสนาอิสลามบริสุทธิ์พูด พูดและทำความเข้าใจไปในหมู่ชนชาวมุสลิมที่ 3 จังหวัดภาคใต้อย่างสม่ำเสมอ

ท่านเคยถูกคนร้ายใช้อาวุธสงครามลอบฆ่ามาแล้วเมื่อ 3 ปีก่อน...จะให้คนอย่างอิหม่ามยะโก๊ปหลบหนีไปไหน เพราะท่านไม่เคยคิดจับอาวุธต่อสู้ล้างแค้นหรือป้องกันตัวกับใคร ท่านก็ยังคงปฏิบัติตัวด้วยจิตสำนึกแห่งอิหม่าม เป็นมุสลิมีน ที่สุภาพเรียบง่ายคงเส้นคงวามาตลอด

เมื่ออิหม่ามยะโก๊ปเสียชีวิต ข่าวลือก็แพร่สะพัดว่าเป็นฝีมือของเจ้าหน้าที่รัฐ ในขณะที่ทางเจ้าหน้าที่ก็ยืนยันว่าไม่ใช่ เพราะหลักฐานจากกล้องวงจรปิดพอจะสืบได้ว่าคนร้ายเป็นใคร ฝ่ายไหน...สามารถวิเคราะห์ออกมาได้ว่า ผู้ร้ายหวังผลเพื่อปลุกกระแสความเกลียดชังเจ้าหน้าที่รัฐเพิ่มขึ้นอย่างไร

ขณะเดียวกับฝ่ายความมั่นคง โดยเฉพาะผู้นำกองทัพ-ทหารระดับสูง และรัฐบาล ถ้าฉลาดที่จะ "พลิกวิกฤติเป็นโอกาส" ก็น่าจะใช้ยุทธศาสตร์ "ชิงมวลชน" ให้เป็นฝ่ายได้เปรียบต่อสถานการณ์ที่เรื้อรังมานาน 9 ปีได้ โดยไม่คิด "ตั้งรับ" ถ่ายเดียว

สิ่งที่ผมไม่เชื่อจนเดี๋ยวนี้ คือทฤษฎีทำลายล้างโดยอ้างอิงหลักศาสนาที่ผิดๆ จะเอาชนะใจชาวไทยมุสลิมเหมือนสถานการณ์ร้ายในหลายประเทศแถบตะวันออกกลางได้ เพราะคนมุสลิมในไทยมักมีพฤติกรรมยิ้มแย้ม สุภาพ โอภาปราศรัย ไม่ก้าวร้าวและรักความสงบสันติมากกว่าคนมุสลิมชาติอื่น

จำเป็นยิ่งที่ฝ่ายรัฐไม่ว่าจะเป็นพรรคไหนขึ้นมาบริหารประเทศ หรือแม้แต่ทหาร "ต้องเข้าใจ" ต่อการแก้ปัญหา 3 จังหวัดอย่าง "เข้าถึงลึกซึ้งต่อจิตใจของคนที่นั่น"

ชีวิตและแบบอย่างที่ดีของอิหม่ามยะโก๊ป แม้ท่านจะเป็น "เหยื่อ" สังเวยไปไม่ต่างกับความตายของอีก 5,000 กว่าชีวิต แต่อิหม่ามยะโก๊ปสามารถเป็นชนวนสำคัญให้กับชาวไทยมุสลิมที่นั่นรวมศูนย์น้ำใจและรวมพลังสร้างความสันติและความสงบได้อย่างถาวร

ถ้ารัฐบาลและฝ่ายความมั่นคงพลิกสถานการณ์ผลักดันให้เกิดพลังสามัคคีในหมู่ชนชาวไทยมุสลิมขึ้นมาได้อย่างเป็นเอกภาพ!

ขออัลเลาะฮ์ดลบันดาลให้คุณความดีของอิหม่ามยะโก๊ป จงเป็นแสงสว่างนำทางให้คน 3 จังหวัดภาคใต้พบหนทางแห่งความสงบสันติโดยเร็วด้วยเถิด..อามีน