วิเคราะห์การเมือง : by นพคุณ ศิลาเณร

เป็นเรื่องขึ้นจนได้ เมื่อพรรคประชาธิปัตย์ นัด "เจรจาลับ" กับแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยในการผนึกกำลังล้มรัฐบาลภายใต้การนำของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี

แม้เป็นการเจรจาครั้งแรก แต่เป็นจุดเริ่มต้นให้การเมืองเข้าไปสู่ความขัดแย้ง ครั้งใหม่ในอนาคต เพราะเงื่อนไขสำคัญ อยู่ที่ "ประชาธิปัตย์ต้องลาออกจาก ส.ส.ยกพรรค" เพื่อเคลื่อนไหวโค่นรัฐบาลนอกสภาร่วมกับพันธมิตรฯ

ข้อเสนอ "ส.ส.ลาออกยกพรรค" เป็นแนวคิดของนายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำคนสำคัญของกลุ่มพันธมิตรฯ ซึ่งต้องการ "ความจริงใจ" จากพรรคประชาธิปัตย์ หากเกิดขึ้นเป็นจริง "สนธิ" พร้อมลืมอดีตบาดหมางกันแล้วมาจับมือ ไล่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ด้วยกัน

ดังนั้น แผนการจะสำเร็จหรือไม่ ย่อมขึ้นอยู่กับ "การตัดสินใจ" ของพรรคประชาธิปัตย์ แต่เมื่อมีการนัดเจรจาลับเกิดขึ้นแล้วประเมินได้ว่า พรรคประชาธิปัตย์ให้ความสนใจเงื่อนไข ส.ส.ลาออก ยกพรรคเช่นกัน

นี่คือจุดเริ่มต้นการเผชิญหน้าครั้งใหม่ แม้เป็นเพียงภาพการเจรจาลับ แบบ "สลัวๆ" แต่อาจเกิดขึ้น "ชัดเจน" ได้ไม่ยากในอนาคตอันใกล้

เพราะพรรคประชาธิปัตย์ในขณะนี้ อยู่ในภาวะ "หลังจนตรอก" ไม่มีหนทางเอาชนะพรรคเพื่อไทยและรัฐบาล ยิ่งลักษณ์ได้เลย นอกจากใช้มวลชนเดินเกมนอกสภาเท่านั้น

อาการจนตรอกของพรรคประชาธิปัตย์เริ่มสะท้อนขึ้นท่ามกลาง "ดุลอำนาจในสังคมใกล้เปลี่ยน" ไปทุกขณะ จึงเกิดสถานการณ์แปลกๆ ขึ้นในสังคมนับตั้งแต่เดือนสิงหาคมเรื่อยมา โดยเฉพาะกระบวนการยุติธรรมได้ฉายภาพการประนีประนอมนำร่อง

6 สิงหาคม ศาลอาญากรุงเทพใต้ วินิจฉัยว่า ความตาย 6 ศพที่วัดปทุมวนารามเกิดจากการกระทำของเจ้าพนักงานที่ปฏิบัติตามคำสั่งของศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) ซึ่งนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ยากที่จะหลีกเลี่ยงความรับผิดชอบได้

9 สิงหาคม ศาลอุทธรณ์ ยกฟ้อง ส.ต.ต.บัณฑิต สิทธิทุม อดีตตำรวจสังกัด สภ.วังน้ำเย็น จ.สระแก้ว เป็นจำเลยในคดียิงจรวดอาร์พีจีใส่กระทรวงกลาโหม

13 สิงหาคม ศาลอุทธรณ์พิพากษา ยกฟ้องคดีนายอภิสิทธิ์ ฟ้องหมิ่นประมาท จตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำ นปช.หลังกล่าวหาตีตนเสมอเจ้า และยังยกฟ้องคดี ที่ถูกนายสุเทพฟ้องหมิ่นประมาทด้วย

14 สิงหาคม ศาลอุทธรณ์ ยังยกฟ้องคดีที่ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง แกนนำพันธมิตรฯ กับพวกรวม 6 คน ยื่นฟ้อง หมิ่นประมาทนายจตุพรอีกด้วย

คดีความเหล่านี้ ล้วนสะท้อนถึงการคลี่คลายปัญหาความขัดแย้งในสังคม โดยประหนึ่งว่า ศาลยุติธรรมได้ส่งสัญญาณ ถึง "ยุคสังคมประนีประนอม" ทางการเมืองขึ้น และยังมีความหมายถึงคดีอีกหลายคดีในศาลรัฐธรรมนูญและการพิจารณาของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติจะได้รับการคลี่คลายไปในทางที่ดียิ่งขึ้น

นั่นแปลความอีกนัยยะว่า ดุลอำนาจสังคมเกิดการเปลี่ยนขึ้น ซึ่งมีส่วนสำคัญอย่างยิ่งต่อความเสียเปรียบของพรรคประชาธิปัตย์ และกลุ่มพันธมิตรฯ

ดังนั้น การต่อสู้นอกสภา ใช้มวลชน เคลื่อนไหวกดดันจึงเป็นหนทางเดียวที่ จะรักษาอำนาจและโค่นรัฐบาลได้ในอนาคต และไม่แปลกเลยที่พรรคประชาธิปัตย์กับพันธมิตรฯ เริ่มเจรจาจับมือกันอีกครั้งหนึ่ง

การเจรจาลับครั้งนี้ ผ่านการยืนยัน จากนายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ แกนนำกลุ่มพันธมิตรฯ ได้เขียนข้อความบนเฟซบุ๊กเมื่อ 16 สิงหาคม ที่ผ่านมา

นายปานเทพเปิดเผยว่า พรรคประชาธิปัตย์ส่งตัวแทน 3-4 คน คือ นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ, นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน, นายกษิต ภิรมย์ และคุณหญิงกัลยา โสภณพนิช มาเจรจากับกลุ่มพันธมิตรฯ ที่มีตัวแทนคือ นายปานเทพกับนายประพันธุ์ คูณมี

"การหารือเป็นไปอย่างสร้างสรรค์ที่เอาผลประโยชน์ประเทศชาติเป็นตัวตั้ง โดยผมได้เสนอความคิดตามข้อเสนอของคุณสนธิ ลิ้มทองกุล ที่ขอให้ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ลาออกมาเพื่อหยุดความชอบธรรมของระบบเผด็จการที่มาจากการเลือกตั้งนี้ เพื่อมา ร่วมกับพี่น้องประชาชนคนทั้งประเทศ ไม่ใช่เพื่อการเปลี่ยนขั้ว แต่มาร่วมกันต่อสู้เพื่อปฏิรูปประเทศไทยให้เป็นประโยชน์ ต่อคนไทยทั้งประเทศ 65 ล้านคน ซึ่งคุณสนธิ ลิ้มทองกุล ก็พร้อมจะเข้าร่วมเดิมพันที่จะมีความคุ้มค่าครั้งนี้ด้วย เพื่อ เอาชาติเป็นตัวตั้ง แม้จะยังไม่ได้ข้อสรุป วันนี้เพราะเป็นการพูดคุยครั้งแรก แต่พรรคประชาธิปัตย์น่าจะต้องไปพิจารณาข้อเสนอนี้ในพรรคต่อไป"

นายปานเทพระบุว่า โดยภาพรวม ดูเหมือนกลุ่มพันธมิตรฯ กับพรรคประชาธิปัตย์คิดเห็นตรงกันหลายเรื่อง แต่พรรค ประชาธิปัตย์เป็นพรรคใหญ่อย่างไรเสีย ก็ต้องกลับไปหารือในพรรคอีกครั้ง

"มีบางคนถามผมว่า ไปเจรจา กับคนพรรคประชาธิปัตย์ได้อย่างไร ไว้ใจได้หรือ ยังไม่เข็ดอีกหรือ โง่หรือเปล่า ผมก็ขอตอบว่า ไม่ลองก็ไม่รู้ และอย่างน้อยก็ได้ลองทำแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ข้อเสนอของคุณสนธิ ลิ้มทองกุลครั้งนี้เกิดปัญญาและคิดได้ในขณะกำลังสวดมนต์ ไม่ว่าประชาธิปัตย์จะปฏิเสธตอบรับ หรือ ตอบรับแต่ไม่จริงใจ เชื่อเถอะครับ เมื่อถึงเวลานั้นประชาชนจะเห็นเองและตัดสินได้เองว่าควรจะทำอะไรต่อไปหลังจากนั้น"

ทั้งหมดนั้น เป็นการเคลื่อนไหวทางการเมืองครั้งสำคัญ และเงื่อนไข ส.ส.ลาออกยกพรรค ย่อมเป็นปัญหาใหญ่ที่พรรคประชาธิปัตย์ต้องไตร่ตรอง เพราะนี่เป็นเดิมพันใหญ่ยิ่ง

แต่นั่นไม่ได้หมายความว่า เป็นไป ไม่ได้ เพราะกลยุทธ์ทางการเมืองเพื่อ "มุ่งชนะ" นั้น พรรคประชาธิปัตย์ทำได้เสมอ การตะโกนในโรงหนังยัดเยียดความผิดข้อหารุนแรงให้นายปรีดี พนมยงค์ ก็เกิดขึ้นมาแล้ว

นายอภิสิทธิ์จับมือพรรคฝ่ายค้าน "บอยคอต" การเลือกตั้งเมื่อ 2 เมษายน 2549 จนนำไปสู่การยุบพรรคไทยรักไทย แล้วเกิดการยึดอำนาจเมื่อ 19 กันยายน 2549 ก็ทำสำเร็จมาแล้ว

นั่นเป็นหนทางการต่อสู้ทางการเมืองแบบหลังจนตรอกของพรรคประชาธิปัตย์ที่ไม่สามารถเอาชนะทางการเมืองในระบบเลือกตั้งและการต่อสู้ในสภาได้

ด้วยเหตุนี้ พรรคประชาธิปัตย์เจรจากับกลุ่มพันธมิตรฯ เพื่อผนึกกำลังต่อสู้แบบใช้มวลชนกดดันข้างถนนย่อมมีความเป็นได้เช่นกัน และเงื่อนไข "ส.ส. ลาออกยกพรรค" จึงเป็น "เดิมพัน" ครั้งสำคัญที่พรรคประชาธิปัตย์ต้องตัดสินใจ เพราะเป็นหนทางเดียวเท่านั้น ที่พรรคประชาธิปัตย์จะต่อต้านกฎหมาย นิรโทษกรรม ล้มกฎหมายกู้เงิน 2 ล้านล้านบาท และขจัดแผนการใช้เงิน 3.5 แสนล้านบาทในโครงการจัดการน้ำทั่วประเทศได้

นี่คือ จุดเริ่มต้นวิกฤติของสังคม ครั้งใหม่กำลังใกล้มาถึงทุกขณะ อย่าได้ประมาทพรรคประชาธิปัตย์เด็ดขาด