Chevron Way กระชับองค์กรสู่ “เครื่องบินเจ็ท”

วันจันทร์ที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2565

Chevron Way กระชับองค์กรสู่ “เครื่องบินเจ็ท”


บิ๊ก “เชฟรอน” เปิดใจกระชับองค์กรสู่เครื่องบินรบ “เอฟ16” เผยสนใจลงทุนแหล่งปิโตรเลียม “อุบล” และพื้นที่คาบเกี่ยวไทย-กัมพูชา พร้อมขอต่ออายุสัมปทานแหล่ง “ไพลิน” เปิดยลโฉมศูนย์ IOC แห่งเดียวในภูมิภาค และสำนักงานใหม่ในรูปแบบ Flexible Work Hybird 

จากความสำเร็จในการส่งมอบแหล่งปิโตรเลียม “เอราวัณ” ลุล่วงด้วยความปลอดภัยในช่วงเดือนเมษายน ที่ผ่านมา วันนี้ ‘เชฟรอน’ พร้อมแล้วที่จะออกเดินทางสู่โอกาสและสร้างความสำเร็จครั้งใหม่ โอกาสนี้ “ชาทิตย์ ห้วยหงษ์ทอง” ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เชฟรอนประเทศไทยสำรวจและผลิต จำกัด ได้ให้สัมภาษณ์พิเศษกับ “สยามธุรกิจ” ถึงวิสัยทัศน์และกลยุทธ์ในการกระชับขนาดธุรกิจสู่ Lean Organization เพิ่มศักยภาพพลังคน พร้อมดันขีดความสามารถองค์กร ซึ่งมีประเด็นที่น่าติดตามเป็นอย่างยิ่ง 

ตลอดการดำเนินธุรกิจในประเทศไทย 60 ปีที่ผ่านมา เชฟรอนภูมิใจที่ได้มีส่วนสำคัญในการวางรากฐานอุตสาหกรรมปิโตรเลียมของประเทศไทย และขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจให้เติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยสร้างรายได้ให้กับภาครัฐในรูปของค่าภาคหลวงรวมแล้วกว่า 551,449 ล้านบาท หลังจากส่งมอบแหล่งปิโตรเลียมเอราวัณให้กับภาครัฐแล้ว ตอนนี้เชฟรอนมีแหล่งผลิตปิโตรเลียมในไทย 2 แหล่งหลักๆ ได้แก่ แหล่งผลิตปิโตรเลียมไพลิน และเบญจมาศ ซึ่งมีกำลังการผลิตก๊าซธรรมชาติรวมกันต่อเดือนอยู่ที่ราว 480 ล้านลูกบาศก์ฟุต ก๊าซธรรมชาติเหลว 16,559 บาร์เรล และน้ำมันดิบ 7,499 บาร์เรล  

“ชาทิตย์” กล่าวว่า  หลังจากส่งมอบสัมปทานแหล่งเอราวัณคืนภาครัฐแล้ว ทำให้เชฟรอนมีแหล่งปิโตรเลียมที่ดูแลเหลืออยู่ 30% และถือโอกาสนี้ปรับเปลี่ยนลักษณะองค์กร จากก่อนหน้านี้เปรียบเสมือนเครื่องบินโดยสารขนาดใหญ่ ทำให้การเดินทางล่าช้า วันนี้เราเปลี่ยนตัวเองมาเป็นเครื่องบินรบ “เอฟ 16” ที่มีขนาดเล็ก กะทัดรัด รวดเร็ว การเปลี่ยนลักษณะองค์กรแบบนี้ จะช่วยให้การทำงานกระฉับกระเฉงมากขึ้น การตัดสินใจในองค์กร และการสื่อสารภายในองค์กรทำได้ดีขึ้น เป็นการกระชับองค์กรสู่ “เครื่องบินเจ็ท” ขนาดเร็วสูง ขับเคลื่อนด้วยพนักงานกว่า 600 คน ซึ่ง 99% เป็นคนไทย และพนักงานจากบริษัทผู้รับเหมาอีกกว่า 300 คน ตนเชื่อว่าการเปลี่ยนองค์กรในลักษณะนี้จะทำให้เป็นองค์กรที่สนุก น่าทำงานมากขึ้น  

“ชาทิตย์” กล่าวอีกว่า เพื่อเป็นการสร้างการเติบโตทางธุรกิจควบคู่กับการจัดหาพลังงานสะอาด ด้วยศักยภาพบุคลากรและวัฒนธรรมองค์กรที่เข้มแข้ง ประกอบกับการที่เชฟรอนไม่เคยหยุดยั้งในการพัฒนาระบบ เทคโนโลยี และนวัตกรรมอย่างต่อเนื่อง ทำให้สามารถเข้าถึงแหล่งพลังงาน เพื่อสร้างความมั่นคงให้กับประเทศไทยได้ โดยบริษัทมองเห็นโอกาสในการพัฒนาธุรกิจในไทย เพื่อบรรลุเป้าหมายในระยะยาวในการจัดหาพลังงานที่สะอาดขึ้น ปลอดภัยและเชื่อถือได้ให้กับประเทศไทย ควบคู่ไปกับการมองหาโอกาสในการลงทุนใหม่ๆ เพื่อตอบสนองความต้องการพลังงานของประเทศต่อไปในอนาคต ทางบริษัทจึงเตรียมเจรจากับกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติเพื่อขอต่ออายุสัมปทานการผลิตก๊าซธรรมชาติจากแหล่งไพลินที่จะสิ้นสุดในปี 2571 ออกไปอีก 10 ปี เพื่อให้เกิดการลงทุนและพัฒนาพื้นที่การผลิตอย่างต่อเนื่อง ซึ่งไม่เพียงช่วยสนับสนุนความมั่นคงทางพลังงาน แต่ยังช่วยสนับสนุนการพัฒนาเศรษฐกิจและการจ้างงานทั้งทางตรงและทางอ้อมผ่านการลงทุน ซึ่งคาดว่าจะได้ข้อสรุปภายในไตรมาส 1 ปี 2566  

ทั้งนี้ แหล่งปิโตรเลียม “อุบล” เป็นแหล่งผลิตใหญ่ที่มีศักยภาพทั้งน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ ตอนนี้อยู่ระหว่างการศึกษาอยู่ในพื้นที่ของแหล่งก๊าซธรรมชาติไพลิน ซึ่งการต่ออายุการผลิตของแหล่งก๊าซธรรมชาติไพลิน จะมีส่วนช่วยสนับสนุนความเป็นไปได้ในการพัฒนาแหล่งปิโตรเลียมอุบลต่อไป รวมถึงส่งเสริมความมั่นคงทางพลังงานของประเทศด้วย 

“แหล่งปิโตรเลียมอุบลจะเกิดได้หรือไม่ อยู่ที่การต่ออายุสัมปทานของแหล่งปิโตรเลียมไพลินสำเร็จ เพราะจะทำให้เรามีเวลาลงทุน การตั้งแท่นผลิตใหม่ การตั้งแพลตฟอร์มใหม่ ขุดหลุมใหม่ เพื่อสร้างการผลิต และมีระยะเวลาในการผลิตเพียงพอในการคืนทุนและได้กำไร” 

นอกจากนี้ เชฟรอนยังสนใจพัฒนาปิโตรเลียมในพื้นที่คาบเกี่ยวไทย-กัมพูชา (TCOCA) หรือพื้นที่ร่วมพัฒนาเศรษฐกิจทางทะเล (Special Economic Zone) ซึ่งจะมีส่วนสำคัญต่อการเพิ่มปริมาณสำรองปิโตรเลียมให้กับประเทศ ตอบโจทย์ของประเทศในการพึ่งพาตนเองด้านพลังงาน รวมถึงเป็นทางออกสำหรับวิกฤตด้านพลังงาน เพราะการพึ่งพาการนำเข้าพลังงานจากต่างประเทศเป็นหลักนั้นมีความเสี่ยงจากราคาที่มีความผันผวนสูง ส่งผลต่อราคาพลังงานที่ประชาชนต้องแบกรับภาระ ดังที่ประเทศกำลังเผชิญอยู่ในปัจจุบัน นอกจากนี้ ยังถือเป็นหนึ่งในโครงการที่สามารถสนับสนุนและกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยการลงทุนและการสร้างงานและสร้างรายได้ให้กับประเทศ ซึ่งมีความจำเป็นเร่งด่วนที่ต้องการการตัดสินใจจากภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง เพราะการพัฒนาโครงการด้าน E&P ต้องใช้เวลาในการดำเนินการ  

ที่สำคัญ TCOCA ยังตอบโจทย์การเปลี่ยนผ่านของอุตสาหกรรมพลังงานไปสู่การใช้พลังงานสะอาด (Solution for energy transition) ได้ โดยเชฟรอนมีความพร้อมในการทำงานร่วมกับทุกภาคส่วน เพื่อปลดล็อกแหล่งพลังงานในอ่าวไทยที่ยังไม่ได้รับการพัฒนาให้เกิดความคุ้มค่าและสร้างประโยชน์สูงสุดให้กับประเทศไทย 

สำหรับข้อพิพาทค่ารื้อถอนแทนปิโตรเลียมแหล่งเอราวัณ ที่อยู่ระหว่างการพิจารณาไต่สวนของคณะอนุญาโตตุลาการนั้น “ชาทิตย์” กล่าวว่า ตอนนี้คณะอนุญาโตตุลาการได้นัดไต่สวนอีกในปี 2566 แต่ถ้าจะมีวิธีอื่นที่จะหาข้อยุติในข้อพิพาทได้ทางเชฟรอนก็พร้อมจะดำเนินการ อย่างไรก็ตาม เมื่อเกิดความคิดเห็นที่แตกต่างทางกฎหมายทำให้เราไม่สามารถแก้ปัญหาได้ ทางออกคือคนกลาง หรือ ศาล และเราเคารพกระบวนการของศาลไม่ว่าจะตัดสินออกมาว่าอย่างไร 

กรณีข้อพิพาทที่อยู่ระหว่างการพิจารณาของคณะอนุญาโตตุลาการ จะมีผลกับการขอต่ออายุสัมปทานแหล่งไพลิน และการลงทุนที่แหล่งปิโตรเลียม “อุบล” หรือไม่ ? 

“ชาทิตย์” ยืนยันว่า “ข้อพิพาทก็อยู่ในกระบวนการศาลดำเนินการไป ขณะเดียวกันการดำเนินธุรกิจทางด้านปิโตรเลียม การมองหาพื้นที่เพื่อพัฒนาแหล่งปิโตรเลียมใหม่ๆ ก็สามารถดำเนินการคู่ขนานไปด้วยกันได้ ผมคิดว่าการทำแบบนี้จะได้ประโยชน์กับทุกฝ่ายมากที่สุด” 

ส่วนกรณีตกเป็นจำเลยของสังคมที่มองว่า เป็นต้นเหตุทำให้ค่าไฟแพงนั้น ประธานกรรมการบริการ เชฟรอน บอกว่า ตรงนี้เป็นเรื่องซับซ้อน ถ้าจะอธิบายความเป็นมาคงยากทีเดียว อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันทางเชฟรอนได้สนับสนุนกับทาง ปตท.สผ. เพื่อให้การผลิตก๊าซธรรมชาติได้เร็วที่สุด ไม่ว่าจะเป็นการเปิด Data Room สนับสนุนข้อมูลต่างๆ เราเห็นความสำคัญที่จะทำให้ปริมาณการผลิตก๊าซที่แหล่งเอราวัณกลับมาได้เร็วที่สุด เพื่อให้มีปริมาณก๊าซเพียงพอเป็นเชื้อเพลิงผลิตไฟฟ้า 

และปี 2565 นี้ถือเป็นปีแห่งการเปลี่ยนแปลงของเชฟรอนในหลายด้าน โดยสำหรับการเดินทางในบทถัดไป เพื่อบรรลุเป้าหมายในการพัฒนาพลังงานที่คนไทยเข้าถึงได้ สะอาด ปลอดภัยและเชื่อถือได้ บริษัทเน้นปรับตัวให้เท่าทันยุคสมัยด้วยกลยุทธ์ Agile โดยเริ่มต้นจากการปรับวิสัยทัศน์และวัฒนธรรมองค์กรเพื่อเพิ่มขีดความสามารถขององค์กร พร้อมตั้งเป้าสร้างการเติบโตทางธุรกิจควบคู่ไปกับการจัดหาพลังงานสะอาด โดยไม่หยุดยั้งในการพัฒนา เทคโนโลยีและนวัตกรรมอย่างต่อเนื่อง ควบคู่ไปกับการสร้างประโยชน์ให้กับสังคมซึ่งถือเป็นเสาหลักและปณิธานในการดำเนินธุรกิจ 

“ชาทิตย์” มองว่า ด้วยสถานการณ์โลกในปัจจุบันที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ทำให้หลายองค์กรต้องปรับตัวให้เท่าทันต่อสถานการณ์ เชฟรอนจึงได้ปรับวิสัยทัศน์ชูกลยุทธ์ Agile มุ่งให้ความสำคัญกับการดำเนินงาน 4 ด้านหลัก ได้แก่ Protect people and the environment มุ่งความเป็นเลิศในการปฏิบัติงาน เสริมสร้างวัฒนธรรมความปลอดภัยทั้งสำหรับพนักงาน ชุมชน และสิ่งแวดล้อม Better Leaders เติมเต็มศักยภาพมุ่งพัฒนาบุคลากรในทุกระดับ เน้นการทำงานร่วมกันอย่างเป็นเอกภาพ Future growth opportunities สร้างความเติบโตทางธุรกิจอย่างต่อเนื่อง โดยพัฒนาแนวทางการทำงานเพื่อเพิ่มประสิทธิผลของแหล่งปิโตรเลียมที่บริษัทฯ ได้รับสัมปทาน ตลอดจนมองหาโอกาสใหม่ๆ ในการสนับสนุนความมั่นคงทางพลังงานของประเทศ และสุดท้ายกับภารกิจ Lower Carbon มุ่งลดความเข้มข้นในการปล่อยก๊าซคาร์บอน (carbon intensity) เพื่อจัดหาพลังงานที่สะอาดขึ้นและสนับสนุนแผนพลังงานชาติสู่สังคมที่ยั่งยืน 

นอกจากวิสัยทัศน์ที่ชัดเจนแล้ว เชฟรอนยังริเริ่มใช้กลยุทธ์การทำงานแบบผสมผสาน หรือ Hybrid Work Model และปรับให้มีชั่วโมงการทำงานที่ยืดหยุ่น พร้อมปรับโฉมสำนักงานใหม่ในรูปแบบ Flexible Work Hybrid ที่แบ่งโซนการทำงานให้สอดรับกับความต้องการที่หลากหลายมากขึ้น 

สำหรับวัฒนธรรมองค์กรฉบับใหม่ บริษัทมุ่งเน้นที่การส่งเสริมคุณค่าใน 4 ด้าน ได้แก่ One Team เน้นการทำงานร่วมกันเป็นทีมตั้งแต่ก้าวแรกของการดำเนินงาน เพราะการที่จะบรรลุเป้ามหายของแต่ละโครงการ จำเป็นต้องใช้ความเชี่ยวชาญจากหลากหลายฝ่าย จึงสนับสนุนการทำงานแบบ Cross-Function เพื่อให้มีประสิทธิภาพและรวดเร็วมากขึ้น Growth Mindset ส่งเสริมให้พนักงานทดลองคิดค้นสิ่งใหม่ๆ และไม่หยุดพัฒนา Empowerment ส่งเสริมให้พนักงาน กล้าที่จะแสดงความคิดเห็นและตัดสินใจ รวมถึงสามารถแสดงศักยภาพของตนเองอย่างเต็มที่ และสุดท้ายกับคุณค่าด้าน Agile ซึ่งเชฟรอนมุ่งเน้นให้พนักงานสามารถปรับตัวต่อทุกสถานการณ์ เพื่อสร้างผลลัพธ์ในทางที่ดียิ่งขึ้น 

ในตอนท้าย “ชาทิตย์” ได้พาเดินชมศูนย์ควบคุมการปฏิบัติงานของแท่นผลิต ที่เรียกว่า “Integrated Operations Center” หรือ IOC ที่สำนักงานกรุงเทพฯ นับเป็นครั้งแรกที่เปิดให้ชมกัน และเป็นครั้งแรกในภูมิภาคที่มีการนำ Control room นอกชายฝั่งของแหล่งผลิตกลางอ่าวไทยทั้ง 3 แห่ง คือ เบญจมาศ ไพลินเหนือ และไพลินใต้ มารวมไว้ที่สำนักงานกรุงเทพฯ ทำให้สามารถควบคุมและสั่งการระบบการผลิตซึ่งห่างออกไป 300 กิโลเมตรได้ โดยคนบนฝั่งสามารถทำงานร่วมกับพนักงานนอกชายฝั่งได้แบบ real-time ตลอด 24 ชั่วโมง เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างที่โดดเด่นของการทำงานในรูปแบบใหม่ ช่วยให้มีการทำงานแบบ cross-functional team มากขึ้น เพิ่มความคล่องตัวในการสื่อสารและขับเคลื่อนการดำเนินงานด้วยข้อมูลเป็นหลัก ทำให้ได้รับข้อมูลข่าวสารได้อย่างฉับไวเพื่อใช้ในการวางแผน และประกอบการตัดสินใจอย่างมีประสิทธิภาพ เป็นปัจจัยที่เอื้อให้องค์กรสามารถปรับตัวและรับมือต่อสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงได้อย่างรวดเร็ว (Agile) นับว่าเป็นโมเดลการทำงานแบบใหม่ที่จะเป็นจุดเปลี่ยนของอุตสาหกรรมสำรวจและผลิตปิโตรเลียมต่อไปในอนาคต 

นอกจากนี้ บริษัทยังพัฒนาเทคนิคการขุดเจาะแบบ Slanted Well ทำให้สามารถเข้าถึงแหล่งกักเก็บปิโตรเลียมที่มีความลาดเอียงสูงได้ เพื่อเพิ่มศักยภาพในการผลิตอีกด้วย โดยจากวัฒนธรรมขององค์กรที่เข้มแข็ง ที่เน้นการทำงานร่วมกันแบบ Collaborative ทำให้เชฟรอนมีเครือข่ายจากทั่วโลกที่พร้อมให้การสนับสนุนด้านองค์ความรู้ เทคโนโลยี และความชำนาญในด้านต่างๆ เพื่อการเพิ่มศักยภาพในการดำเนินธุรกิจของทั้งองค์กรไปด้วยกัน 

 



บริษัท สมาร์ท โกลด์ มีเดีย กรุ๊ป จำกัด SMART GOLD MEDIA GROUP CO.,LTD. ติดต่อสอบถาม ID Line : @siamturakij และ ฝ่ายโฆษณา siamturakijadvertising@gmail.com
© 2013 สยามธุรกิจ