ยังไม่สิ้นเสียง "กรี๊ด....โหยหวน" ขาดสติ ป่วน-ตีรวนสภา

วันอังคารที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2556

ยังไม่สิ้นเสียง


วิเคราะห์การเมือง : นพคุณ ศิลาเณร

ถ้าใส่ใจอารมณ์ป่วน-ตีรวนของ ส.ส.พรรค ประชาธิปัตย์ในสภาเมื่อ 20 สิงหาคม ที่ผ่านมาแล้ว

ไม่มีอะไรมากไปกว่า "ทำใจปลง"

เพราะมนุษย์เมื่อขาดสติ ย่อมไร้เหตุผล อารมณ์กร้าว มุทะลุเบียดแทรกเข้า แทนที่ได้มีพฤติกรรมราวกับเป็นคนบ้า... และอยากเอาชนะจึงผุดขึ้น แสดงออก ไม่รู้ตัว จนยากจะยับยั้งทัน

อารมณ์เยี่ยงนี้เป็นมิติซ่อนเร้นของมนุษย์เสมอ ไม่ว่าปุถุชน หรืออยู่ในคราบนักการเมืองสังกัดพรรคที่ร้องป่าวประกาศ เกียรติยศ "เชื่อมั่นระบบรัฐสภา" ก็ไม่แตกต่างกัน

เมื่อมนุษย์วิวัฒนาการมาจากสัตว์ "อารมณ์และสติ" จึงเป็นพัฒนาการแบ่งแยกให้แตกต่างจากสัตว์ หากขาดสิ่งนี้แล้ว สัตว์ย่อมอยู่ในร่างมนุษย์เสมอ

พร้อมๆ กับหาโอกาส คอยช่วงชิงจังหวะปลดเปลื้องอารมณ์ โชว์พลังอำนาจ ให้เกรงขามเป็นปกติ

ภาพอาการป่วนชุลมุน ส.ส.ผลักอก ยื่นมือค้ำคอ บีบลูกกระเดือก เหวี่ยงหมัดทีเผลอเข้าโหนกแก้มตำรวจสภา เสียงกรี๊ดร้องราวกับเสียงชะนีโหยหวน ล้วนเป็นพฤติกรรมของมนุษย์ที่ไร้สติควบคุมอารมณ์ ทั้งสิ้น

มนุษย์ในห่วงยามนั้น จึงมีแต่อารมณ์ เถื่อนดิบ...

หากเข้าใจธรรมชาติมนุษย์ ย่อมเห็นใจนายกุลเดช พัวพัฒนกุล ส.ส. อุทัยธานี พรรคประชาธิปัตย์ ที่แสดงพฤติกรรมขาดสติในห้องประชุมสภา เพราะเขาทนเจ็บ "ตาปลา" ที่ถูกเหยียบไม่ไหว

อาการแบบ "วูบ" จึงเกิดขึ้น แล้วมันจะ "วาบ" หายไป...

ทุกอย่างจบเมื่ออธิบายด้วย "ถูกเหยียบตาปลา" ไม่ใช่เนื้อหาสาระของร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญเกี่ยวกับที่มาของสมาชิกวุฒิสภาจากการเลือกตั้งที่เถียงกันเอาเป็น เอาตายในขณะนั้น

ต้นเหตุนายกุลเดชนำตาปลาไปถูกเหยียบ ส่วนหนึ่งและสำคัญล้วนมาจากการ ทำหน้าที่ประธานประชุมสภาของนายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานสภา ทั้งสิ้น และเขาควรรับเอาความผิด "คนต้นแบบเหตุการณ์ป่วน" ไปเต็มๆ

นายสมศักดิ์ ถูก ส.ส.ประชาธิปัตย์ ยืนขึ้นยกมือประท้วงการทำหน้าที่ถี่ยิบ เขาถูกตราหน้าว่า รวบรัดการประชุม เป็นเผด็จการ ไม่เป็นกลาง จึงทำให้ ส.ส.ขาดสติ โวยวาย ป่วน ตีรวน แล้วเกิดชุลมุนเพราะเจ็บจากการถูกเหยียบตาปลา

เหตุการณ์เป็นเช่นนี้ ทุกอย่างจบ ปิดประชุมสภา...

ปล่อยให้หน้าประวัติศาสตร์การเมือง บันทึกพฤติกรรมช็อตต่อช็อตที่เกิดขึ้นไว้เป็น "ตราบาป" ของ ส.ส.ประชาธิปัตย์

บันทึกว่า เหตุการณ์วุ่นวายในสภาขณะพิจารณาการแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อกำหนด "ที่มาของ ส.ว." จากการเลือกตั้ง จำนวน 200 คนนั้น เกิดการชุลมุนใช้กำลังยื้อยุด และมีเสียงกรีดร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวดดังลั่นในสภา

ทั้งๆ ที่พฤติกรรมเหนือความเป็นมนุษย์นั้น ไม่น่าเกิดขึ้นระหว่างการโต้แย้ง ด้วยเหตุผล เพื่อสะท้อนจุดยืนทางการเมืองว่า ระบอบประชาธิปไตยสมควรให้ "ส.ว. มาจากการเลือกตั้งของประชาชน" หรือมาจากการ "สรรหาของคนเพียง 7 คน"

เนื้อหาความสำคัญของการแก้ไขรัฐธรรมนูญมีเพียงเท่านี้ และอยู่ตรงที่ "เลือกตั้งดี" หรือ "สรรหาดีกว่า" เท่านั้น

รัฐธรรมนูญ 2550 ในมาตรา 111 กำหนดให้มี ส.ว. จำนวน 150 คน จากการเลือกตั้งของประชาชนจังหวัดละ 1 คน รวม 76 คน และมาจากการสรรหาจำนวน 74 คน

ส.ว.จากการสรรหานั้น ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาจากคน 7 คน ในชื่อ "คณะกรรมการสรรหา" ซึ่งประกอบด้วย ประธานศาลรัฐธรรมนูญ ประธานกรรมการ การเลือกตั้ง ประธานผู้ตรวจการแผ่นดิน ประธานกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ประธานกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน ผู้พิพากษาศาลฎีกา และตุลาการในศาลปกครองสูงสุด

คำถามมีว่า จะให้คนทั่วประเทศกว่า 40 ล้านคน ออกเสียงเลือกตั้ง ส.ว. 76 คน แล้วใช้คนเพียง 7 คนมาเลือก ส.ว. 74 คน เป็นสิ่งที่ถูกต้องตามหลัก "ความเท่าเทียมทางการเมือง" ในระบอบประชาธิปไตยหรือไม่

ประเด็นความเท่าเทียมนั้น จึงเป็นหลักการสู่การแก้ไขรัฐธรรมนูญแบบ กลายๆ นั่นเอง พรรคเพื่อไทย กับส.ว.บางส่วนจำนวน 308 คน ที่เสนอการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เข้าใจในความแตกต่างเช่นนี้ จึงต้องการ "ล้มอภิสิทธิ์ชน" ของคน 7 คน เพื่อสร้างความเท่าเทียมให้เกิดขึ้นอย่างมีศักดิ์ศรี

แต่พรรคประชาธิปัตย์กับกลุ่ม 40 ส.ว.สรรหา พยายามต่อสู้หนักหน่วง เพื่อปกป้องอำนาจสรรหาของกลุ่ม 7 คนไว้ตาม เดิม... ตรงนี้คือ เกมการเมืองที่ซุกซ่อนอยู่ลึกๆ

เป็น "เกม" ที่พรรคประชาธิปัตย์จำนวน 150 คน เป็นเสียงข้างน้อยในสภา อยู่ในซีกฝ่ายค้าน ต้องการป้องกันฐานอำนาจจาก ส.ว.สรรหาไว้เป็นพวก จึงต่อต้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญด้วยอารมณ์เถื่อนดิบและขาดสติ

ถึงที่สุดแล้ว ถ้าว่ากันด้วย "เกม" ความวุ่นวายในสภาผ่านมา ย่อมเป็นส่วนหนึ่งของเกมและผ่านการเตรียมการมาอย่างดี

เป็นเกมจาก "เสียงข้างน้อย" ที่ไม่อาจเอาชนะ "เสียงข้างมาก" ในห้องประชุมสภาได้ เกมป่วนในสภาจึงเกิดขึ้น เพื่อสะท้อนสภาพ "จนตรอก" ของพรรคประชาธิปัตย์

นั่นหมายถึงเวทีสภาไม่ใช่พื้นที่การต่อสู้ทางการเมืองแบบประชาธิปไตย ดังนั้น แนวโน้มการใช้พลังนอกสภามากดดัน ข้างถนน จึงมีโอกาสเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้

และเกมเช่นนี้ ยังมีอีกหลายด่าน เสียงกรี๊ดและโหยหวนยังจะดังก้องในสภาอีกหลายครั้ง เพราะในอนาคตพรรคประชาธิปัตย์ต้องเผชิญหน้าและต่อต้านกฎหมาย อีกหลายฉบับ

กฎหมายกู้เงิน 2 ล้านล้านบาท กฎหมายแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 68 และ 237 รวมทั้งการแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 190 ล้วนเป็นเงื่อนไขนำไปสู่การส่งเสียงกรี๊ดๆ อย่างโหยหวนได้ทั้งสิ้น

เพราะเสียงเก็บกดเช่นนี้ เป็นอาการสะท้อนถึงความจนตรอกของเสียงข้างน้อย ที่ไม่มีทางสู้เสียงข้างมากในสภา ดังนั้นการป่วน ตีรวน เพื่อทำลายจึงเป็นเกมเดียว ที่ต้องงัดออกมาเล่นแบบมนุษย์ขาดสติ

อย่าได้คิดมากเลย ควรเริ่มหัด "ปลง" ตั้งแต่นี้เลย จะได้มีสติแบบมนุษย์เหลืออยู่


บริษัท สมาร์ท โกลด์ มีเดีย กรุ๊ป จำกัด SMART GOLD MEDIA GROUP CO.,LTD. ติดต่อสอบถาม โทร : 0893284192 , ID Line : @siamturakij และ ฝ่ายโฆษณา siamturakijadvertising@gmail.com
© 2013 สยามธุรกิจ