จี้รัฐคิดใหม่หยุดก.ม.รังแกคนชรา

วันเสาร์ที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2556

จี้รัฐคิดใหม่หยุดก.ม.รังแกคนชรา


เป็นที่หวั่นใจของหลายภาคส่วน โดยเฉพาะผู้ที่ต้องมีผลกระทบโดยตรงเกี่ยว กับกรณีที่รัฐบาลไม่ดำเนินการตามกฎหมายกองทุนการออมแห่งชาติ ที่บังคับใช้แล้ว แต่เมื่อถูกยื่นฟ้องทางศาลปกครอง รัฐบาลแทนที่จะเร่งแก้ไข กลับให้ประกันสังคมเพิ่มมาตรา 40 แล้วซุ่มเงียบ ยกเลิกกฎหมายการออมฯแบบมึนๆแทนที่จะรอรับฟังความเห็นของผู้ที่ต้องได้รับผลกระทบนับสิบล้านคนทั้งที่เรื่องนี้มีการฟ้องศาลปกครองอยู่ ไม่ควรรีบยกเลิกกฎหมายหนีการตรวจสอบของศาล

เรื่องดังกล่าวทางคปก.โดย "คณิต ณ นคร" ประธานกรรมการปฏิรูปกฎหมาย เห็นว่า พระราชบัญญัติกองทุนการออมแห่งชาติ พ.ศ.2554 ซึ่งประกาศใช้แล้วไปก่อนตามเจตนารมณ์ของกฎหมายและการเล็งประโยชน์ที่จะเกิดขึ้นทั้งต่อบุคคลและต่อ การที่ประเทศจะมีเงินออมเพิ่มเติมความแข็งแกร่งให้กับฐานะการคลังของประเทศ แทนที่จะมีร่างพระราชบัญญัติยุบเลิกกองทุนการออมแห่งชาติ พ.ศ.

โดยที่พระราชบัญญัติกองทุนการออมแห่งชาติ พ.ศ.2554 นี้ คณะรัฐมนตรีและรัฐสภาได้มีเจตจำนง ในการตรากฎหมายเพื่อให้เป็นไปตามแนวนโยบายแห่งรัฐตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มีการรับฟังความคิดเห็นจากทุกภาคส่วนและมีการเตรียมพร้อมจะดำเนินการให้มีผลบังคับใช้ จึงไม่มีเหตุผลและความจำเป็นที่มีความชอบธรรมในการยุบเลิก

และหากกระทรวงการคลังหรือคณะรัฐมนตรีและรัฐสภาจะยกเลิกกฎหมายดังกล่าวก็ควรจะมีเหตุผลที่แสดงถึงชัดเจนและชอบธรรมว่ามีคุณค่าเหนือกว่ากฎหมายเดิม การยุบกองทุนการออมแห่งชาติที่มีผลเป็นการยกเลิกพระราชบัญญัติกองทุน การออมแห่งชาตินี้ กรณีนี้จึงอาจขัดแย้งกับรัฐธรรมนูญ แห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา 84(4) ที่ผู้ที่เกี่ยว ข้องอาจถูกถอดถอนออกจากตำแหน่งตามมาตรา 270 ได้

สำหรับในระยะยาวก็ควรต้องพัฒนาหลักการส่งเสริมการออมตั้งแต่วัยทำงานในฐานะบำนาญภาค ประชาชนให้อยู่ในกฎหมายเดียว เป็นหน่วยงานของรัฐ ซึ่งเป็นกฎหมายเฉพาะ มีโครงสร้างการมีส่วนร่วมชัดเจนในกฎหมายและเปลี่ยนแนวคิดจากการสงเคราะห์ ซึ่งพระราชบัญญัติกองทุนการออมแห่งชาติ พ.ศ.2554 จึงมีโอกาสพัฒนาให้ครอบ คลุมและมีประสิทธิภาพมากกว่านี้ในระยะยาวเพื่อเป็นรากฐานการพัฒนาการออมแห่งชาติในอนาคต

สำหรับในเรื่องนี้ "วรวรรณ ชาญด้วยวิทย์" สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย วิเคราะห์ว่าขณะนี้ฝ่ายรัฐกำลังพยายามยุบเลิกพระราชบัญญัติกองทุนการออมแห่งชาติ พ.ศ.2554 โดยโอนย้ายการออมของประชาชนที่ไม่ใช่ข้าราชการทั้งหมดให้ไปอยู่กับกองทุนประกันสังคม

พระราชบัญญัติการออมแห่งชาติ เป็นผลผลิตร่วมกันของทุกภาคส่วนอย่างแท้จริง เริ่มตั้งแต่คณะกรรมการผู้สูงอายุแห่งชาติที่มีนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน สำนักงานเศรษฐกิจการคลังที่อำนวยการเรื่องวิชาการ ผู้ทรงคุณวุฒิจากมหาวิทยาลัยของ รัฐหลายแห่ง มูลนิธิสถาบันวิจัยเพื่อพัฒนาผู้สูงอายุไทย เครือข่ายแรงงานนอกระบบ และประชาชน อีกจำนวนมาก และพรรคเพื่อไทยเองเมื่อเป็นพรรค ฝ่ายค้านก็เป็นผู้เสนอกฎหมายบำนาญแห่งชาติเพื่อ ไปแข่งกับฉบับของรัฐบาลในอดีต

เหตุผลหลักของการยุบเลิกพระราชบัญญัติการออมแห่งชาติ คือ เรื่องความซ้ำซ้อนกับการสนับสนุนการออมผ่านมาตรา 40 ในกฎหมายประกัน สังคม และเพื่อการใช้ประโยชน์จากโครงสร้างพื้นฐาน ของสำนักงานประกันสังคมในการจัดเก็บเงินออม

แม้ว่าหลักการยุบเลิกจะเพิ่มประสิทธิภาพในการปฏิบัติงาน แต่ก็รัฐต้องคำนึงถึงหลักการของความเสมอภาค ความเป็นธรรม และแนวนโยบายการมีส่วนร่วมของประชาชน ที่กล่าวไว้อย่างชัดเจน ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย

สำนักงานประกันสังคมเป็นหน่วยงานของรัฐ มีคณะกรรมการที่เป็นตัวแทนมาจากรัฐ นายจ้าง และ ลูกจ้าง ในปัจจุบัน การได้มาของตัวแทนนายจ้างและ ลูกจ้างก็มีปัญหาว่าเป็นตัวแทนที่แท้จริงของนายจ้าง และลูกจ้างส่วนใหญ่หรือไม่

ในขณะที่เราจะรวมประชาชนอีกประมาณ 30 ล้านคนเข้ามาอยู่ภายใต้ระบบเดียวกันและเรียกว่าเป็นผู้ประกันตนมาตรา 40 ของกฎหมายประกันสังคม คนเหล่านี้ไม่มีตัวแทนของตนที่จะไปมีส่วนร่วม ในการตัดสินเพื่อประโยชน์ของตนในระบบประกันสังคมเลย คณะกรรมการประกันสังคมที่มีคนเพียง 15 คนเท่านั้นที่จะตัดสินประโยชน์ที่จะเกิดกับคน 30 ล้านคนนี้

การที่สำนักงานประกันสังคมเป็นหน่วยงานของ รัฐ สินทรัพย์ทั้งหมดก็เป็นของรัฐด้วย การลงทุนต่างๆ ก็ถือว่าเป็นรัฐลงทุน ประชาชนที่รับเงินจากสำนักงาน ประกันสังคมก็ถือว่ารับเงินจากรัฐทั้งๆ ที่รัฐมีส่วนลงขันไม่ถึงหนึ่งในสามด้วยซ้ำ

การที่ประชาชนรับเงินสิทธิประโยชน์จากรัฐ จะทำให้หมดสิทธิการได้รับเงินเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ เนื่องด้วยในระเบียบของการรับเงินเบี้ยยังชีพกล่าวไว้ว่าผู้สูงอายุที่รับเบี้ยยังชีพต้องไม่เป็นผู้ได้รับสวัสดิการหรือสิทธิประโยชน์อื่นใดจากหน่วยงานของรัฐ ด้วยเหตุนี้ประชาชนย่อมขาดแรงจูงใจในการออม เพราะออมแล้วก็จะไม่ได้รับเบี้ยยังชีพ แถมเงินที่จะออมได้ยังอาจจะทำให้ได้รับบำนาญน้อยกว่าเงินที่จะได้รับจากเบี้ยยังชีพอีกด้วย

สิ่งที่รัฐควรทำโดยที่ยังสามารถยึดหลักของการส่งเสริมการออมเพื่อการชราภาพ หลักความเสมอภาค ความเป็นธรรม และการมีส่วนร่วมของประชาชน และยังเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการด้วยน่าจะเป็นดังนี้

หนึ่ง แก้ไขพระราชบัญญัติการออมแห่งชาติ และพระราชบัญญัติประกันสังคม ในบางมาตรา โดย ให้เรื่องการออมเพื่อการชราภาพของประชาชนทั้งหมด อยู่ภายใต้กฎหมายเดียวกันคือ พระราชบัญญัติการออมแห่งชาติ ให้ประชาชนทุกคนได้รับการสนับ สนุนการออมเพื่อการชราภาพอย่างเสมอภาค และรัฐ สมทบอย่างเสมอภาค ถ้าผู้ประกันตน หรือข้าราชการอยากออมด้วยก็ไม่ควรไปกีดกัน และให้ใช้โครงสร้าง พื้นฐานของสำนักงานประกันสังคมในการเก็บและจ่าย เงิน โดยคิดค่าธรรมเนียมการให้บริการที่เหมาะสม

สอง ให้มีหน่วยงานดูแลการออมนี้เป็นนิติบุคคล ไม่ใช่หน่วยงานของรัฐ ตามที่พระราชบัญญัติ การออมแห่งชาติได้บัญญัติไว้แล้ว แต่ควรเพิ่มให้มีคณะกรรมการนโยบายบำนาญแห่งชาติเพื่อกำกับนโยบายที่สำคัญนี้อย่างเสมอภาคและมีประสิทธิภาพ

สาม ให้ผู้ประกันตนสามารถโอนย้ายเงินออมของตนจากกองทุนประกันสังคมมาไว้ในกองทุนการ ออมแห่งชาตินี้ได้เมื่อเห็นว่ากองทุนประกันสังคมบริหารจัดการได้ไม่ดีเท่ากองทุนการออมแห่งชาติ หรือเมื่อต้องการลาออกจากงานลูกจ้างไปทำงานอย่างอื่นและต้องการออมเงินต่อไปเพื่อให้เพียงพอกับการใช้ยามแก่ชรา หรือในทางกลับกัน ถ้าคนทำอาชีพอิสระอยากไปเป็นลูกจ้างและออมกับระบบประกันสังคมก็ให้สามารถโอนย้ายเงินที่เคยออมไปสู่ระบบประกันสังคมได้

ทั้งสามข้อนี้เป็นหลักการที่อยากเสนอให้ผู้เกี่ยวข้องและรัฐช่วยกันถกอย่างสร้างสรรค์และสาน สนทนาอย่างมีเหตุมีผล ความสำเร็จที่เกิดจะเป็นผลงานชิ้นโบแดงของรัฐได้เลย

อย่าลืมว่าเราทุกคน (ถ้าไม่ตายซะก่อน) จะต้อง เข้าสู่วัยชรา เราและรัฐควรเตรียมการ เพื่อให้เราสามารถแก่ชราได้อย่างไม่แร้นแค้น ในขณะเดียวกัน เราก็อยากเห็นคนชราที่อยู่ข้างบ้านเราอยู่อย่างไม่แร้นแค้นเช่นกัน


บริษัท สมาร์ท โกลด์ มีเดีย กรุ๊ป จำกัด SMART GOLD MEDIA GROUP CO.,LTD. ติดต่อสอบถาม โทร : 0893284192 , ID Line : @siamturakij และ ฝ่ายโฆษณา siamturakijadvertising@gmail.com
© 2013 สยามธุรกิจ