Toggle navigation
วันเสาร์ ที่ 21 มิถุนายน 2568
หน้าแรก
ข่าวสาร
วิเคราะห์-บทความ-ต่างประเทศ
ประกัน
ยานยนต์
การเงิน-ธนาคาร
หุ้น-กองทุนรวม
อสังหาริมทรัพย์
พลังงาน-คมนาคม-โลจิสติกส์
อุตสาหกรรม-เออีซี-เอสเอมอี
ไอที
การศึกษา-กทม
การตลาด-ซีเอสอาร์
เกษตรยุคใหม่-ภูมิภาค
บันเทิง
ขายตรง
ประชาสัมพันธ์
PR NEWS -ข่าวประชาสัมพันธ์
ไลฟ์สไตล์
ท่องเที่ยว
แฟชั่นโซไซตี้-ดูดวง
ช๊อป-ชิม-ชิล
สุขภาพ-ความงาม
วิดีโอ-คลิปข่าว
E-Book
นสพ. สยามธุรกิจ
ติดต่อเรา
สามารถส่งข้อมูล ข่าวสาร ทางอีเมลล์ : siamturakijonlinenews@gmail.com และ สำหรับฝ่ายโฆษณา ทางอีเมลล์ : siamturakijadvertising@gmail.com
หน้าแรก
วิเคราะห์-บทความ-คอลัมน์
ไฮสปีดเทรนเป้าหมายหลักกู้เงินลงทุนขนส่ง
ไฮสปีดเทรนเป้าหมายหลักกู้เงินลงทุนขนส่ง
วันเสาร์ที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2556
Tweet
วันที่ 28 มีนาคม 2556 สภาได้พิจารณาร่างกฎหมายกู้เงิน 2 ล้านล้านบาทในวาระแรก (ขั้นรับหลักการ) เหตุผลสำคัญส่วนหนึ่งที่ฝ่ายรัฐบาลอธิบายต่อสภาว่า ไทยขาดงบประมาณลงทุนมาตั้งแต่ปี 2549-2555 ซึ่งมีสัดส่วนการลงทุนภาครัฐและเอกชนลดลงต่อเนื่อง ประกอบกับงบประมาณรายจ่ายด้านการลงทุนอยู่ในระดับกว่าเกณฑ์ 25% ติดต่อกันมา 6 ปีซ้อน
โดยเฉพาะในงบประมาณรายจ่าย ปี 2555 จำนวน 2.07 ล้านล้านบาท มีวงเงินเพื่อการพัฒนาด้านขนส่งของประเทศ จำนวน 89,183 ล้านบาท หรือคิดเป็น 0.8% ของจีดีพีเท่านั้น นั่นสะท้อนว่า วงเงินการลงทุนในแต่ละปีมีอย่างจำกัด
นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ รมว. คมนาคม อ้างการจัดอันดับของธนาคาร โลกที่ระบุลอจิสติกส์ของไทยเป็นรายสาขาว่า ถนนอยู่ในอันดับที่ 36 รางอยู่ที่ 57 ท่าเรือ 43 ท่าอากาศยานอันดับที่ 28 ยังด้อยกว่าสิงคโปร์และมาเลเซีย
หากเปรียบเทียบคุณภาพโครงสร้างพื้นฐานของไทยกับประเทศในภูมิภาคแล้ว ไทยอยู่ในอันดับที่ 49 ขณะที่สิงคโปร์อันดับ 2 ฮ่องกงที่ 4 เกาหลีใต้ 22 และมาเลเซียอันดับที่ 29
สิ่งสำคัญคือ ในปี 2555 ไทยมีจีดีพีทั้งสิ้น 11.5 ล้านล้านบาท แต่เป็นต้นทุนด้านลอจิสติกส์ประมาณ 1.75 ล้านล้านบาท ย่อมสะท้อนถึงต้นทุนการใช้จ่ายด้านการขน ส่งอย่างมากมาย ทั้งนี้เพราะโครงสร้างพื้นฐานของไทยอยู่ในระดับมีคุณภาพน้อย
เมื่อพิจารณาสัดส่วนการขนส่งของไทยแล้ว พบว่า มีรูปแบบการขนส่งทางถนนมากที่สุดถึง 86% มีการสูญเสียด้านพลังงานแล้ว ในปี 2554 ไทยใช้พลังงานเมื่อเทียบเป็นน้ำมันทั้งสิ้น 71 ล้านตัน ใช้ในภาคอุตสาหกรรม 36% ด้านการขนส่ง 35% หรือประมาณ 700,000 ล้านบาท
ธนาคารโลกระบุความสูญเสียด้านอุบัติเหตุของไทยสูงถึง 232,000 ล้านบาทต่อปี นอกจากนี้ยังมีต้นทุนการรักษาพยาบาลจากปัญหามลพิษทางอากาศถึง 7,214 ล้านบาทต่อปี
มูลค่าต้นทุนความสูญเสียจำนวนมากต่อปีนั้น ส่วนสำคัญเกิดจากระบบการขนส่งทางถนนมากที่สุด โดยในปี 2553 มีปริมาณการขนส่งสินค้าทั้งหมดรวม 194,039 ล้านตัน-กม. ในจำนวนนี้เป็นการขนส่งทาง ถนนมากถึง 185,883 ล้านตัน-กม.จากโครง การถนนทั่วประเทศจำนวน 212,060 กม.
รวมความแล้ว การหยุดชะงักด้านการลงทุนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมขนส่งที่ต่อเนื่องมานานตั้งแต่ปี 2549 ทำให้เกิดต้นทุนความสูญเสียในทุกด้านอย่างมากมาย โดยเฉพาะการเน้นลงทุน ระบบขนส่งของประเทศด้วยกลไกรายจ่าย จากแต่ละปีงบประมาณแล้วจึงทำให้ไทยต้องสูญเสียโอกาสการพัฒนาระบบขนส่งมายาวนาน
คงเป็นด้วยสาเหตุเหล่านี้ รัฐบาลชุด น.ส.ยิ่งลักษณ์ นายกรัฐมนตรี จึงเริ่มต้นกู้เงินมาลงทุนอย่างต่อเนื่อง เพื่อผลักดันให้ระบบคมนาคมของไทยก้าวไปสู่ศูนย์กลางของอาเซียนในอนาคต
ใน 3 ยุทธศาสตร์เพื่อการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของประเทศในวงเงินกู้เพื่อการลงทุน 2 ล้านล้านบาทนั้น เมื่อมีแผนงาน ใช้ลงทุนพัฒนาด้านระบบรางหรือรถไฟมากที่สุดถึง 1,658,892 ล้านบาท หรือคิดเป็น 83% ของวงเงินกู้ทั้งหมด ลงทุนโครงข่ายถนน วงเงิน 275,389 ล้านบาท ลงทุนโครงข่ายทางลำน้ำและชายฝั่ง วงเงิน 29,820 ล้านบาท และลงทุนโครงการขนส่งต่อเนื่องหลายรูปแบบและด่านการค้าชายแดน วงเงิน 26,638 ล้านบาท
รัฐบาลตั้งเป้าหมายการลงทุนไว้ว่า ต้องลดต้นทุนลอจิสติกส์ต่อจีดีพีลดลงจากปัจจุบันไม่น้อยกว่า 2% (ปัจจุบัน 15.2%) ให้ผู้เดินทางระหว่างจังหวัดโดยรถยนต์ส่วน บุคคลลดลงจาก 59% เหลือ 40% ความ เร็วเฉลี่ยของรถไฟขนส่งสินค้าเพิ่มขึ้นจาก 39 กม./ชม. เป็น 60 กม./ชม. และขบวนรถโดยสารเพิ่มขึ้นจาก 60 กม./ชม. เป็น 100 กม./ชม.
นอกจากนี้ ต้องมีสัดส่วนการขนส่งสินค้าทางรางเพิ่มขึ้นจาก 2.5% เป็น 5% มีสัดส่วนขนส่งสินค้าทางน้ำเพิ่มขึ้นจาก 15% เป็น 19% ลดความสูญเสียจากน้ำมัน เชื้อเพลิงไม่น้อยกว่า 100,000 ล้านบาท ต่อปี และมีสัดส่วนการเดินทางรถไฟฟ้าเพิ่มขึ้นจาก 5% เป็น 30%
รวมทั้ง ในแผนงานของโครงการแล้ว รัฐบาลมุ่งหวังว่า ต้องมีปริมาณการ ขนส่งสินค้าผ่านเข้า-ออก ณ ด่านการค้าชายแดนที่สำคัญเพิ่มขึ้น 5% มีปริมาณ ผู้โดยสารทางรถไฟเพิ่มขึ้นจาก 45 ล้านคน/เที่ยว/ปี เป็น 75 ล้านคน/เที่ยว/ปี และลดระยะการเดินทางจาก กทม.ไปยังเมืองภูมิภาค ด้วยรถไฟความเร็วสูงภายในรัศมี 300 กม.รอบ กทม.ในระยะเวลาไม่เกิน 90 นาที จากเดิมที่ใช้เวลาเฉลี่ย 3 ชั่วโมง
สิ่งสำคัญคือ จะส่งผลต่อเศรษฐกิจ ขยายตัวอีก 1% ต่อปี และการจ้างงานรวมเพิ่มขึ้น 5 แสนตำแหน่ง
ภาพรวมความมุ่งหวังเช่นนี้ จะเกิด เป็นผลสำเร็จตามรัฐบาลต้องการ หรือหรือไม่ ด่านแรกต้องอธิบายให้สภาตก ผลึกในแนวทางการพัฒนาประเทศ และผลักดันให้ร่างกฎหมายกู้เงินผ่านสภาเสียก่อน
สิ่งนี้เป็นส่วนหนึ่งของเดิมพันที่ต้อง วัดดวงกับเกมของพรรคประชาธิปัตย์ในต้นเดือนกันยายนนี้
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
The Associated Press
ภาษีบุหรี่ ค้างคา "แช่แข็ง" ไม่เดินหน้...
...
อะไรคือ ? โจทย์ใหญ่ กระทรวงการคลัง ที่มา...
...
ttb analytics มองเงินบาทยังมีแนวโน้มแข็ง...
...
มาตรการ MPOWER เสาหลักกฎหมายควบคุมผลิตภั...
...
“ทักษิณ” พ่อมดการเมือง????...
...
บริษัท สมาร์ท โกลด์ มีเดีย กรุ๊ป จำกัด SMART GOLD MEDIA GROUP CO.,LTD. ติดต่อสอบถาม โทร : 0893284192 , ID Line : @siamturakij และ ฝ่ายโฆษณา siamturakijadvertising@gmail.com
© 2013 สยามธุรกิจ
×
เว็บไซต์ “สยามธุรกิจ” ใช้คุกกี้เพื่อให้ท่านได้รับประสบการณ์การใช้งานที่ดียิ่งขึ้น อ่านนโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (Privacy Policy) และ นโยบายคุกกี้ (Cookie Policy)
กดยอมรับ