- หน้าแรก
- ข่าวเด่น
- พลิกโผมนุษย์เงินเดือน… จบใหม่..‘หมอ-เภสัช’แชมป์รายได้สูง!!
พลิกโผมนุษย์เงินเดือน… จบใหม่..‘หมอ-เภสัช’แชมป์รายได้สูง!!
วันเสาร์ที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2557
ผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐศาสตร์ อย่างนายอมรเทพ จาวะลา ผู้อำนวยการสำนักวิจัย ธนาคารซีไอเอ็มบีไทย ได้ออกมาคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจไทยปีหน้าจะฟื้นตัวขึ้นในระดับปานกลางตามความเชื่อมั่นที่สูงขึ้นของผู้บริโภคและนักลงทุน แต่อาจไม่สามารถเร่งตัวได้แรงเช่นอดีตเนื่องจากภาคส่งออกยังมีปัญหาสินค้าเกษตรยังเผชิญปัญหาอุปทานส่วนเกินที่ล้นตลาดโลก หนี้ครัวเรือนที่ยังอยู่ในระดับสูง สำหรับระดับความเชื่อมั่นของนักลงทุนและผู้บริโภคที่เพิ่มขึ้น นายอมรเทพได้วิเคราะห์ว่านโยบาย “ประยุทธ์โนมิคส์” หรือนโยบายด้านเศรษฐกิจของ “รัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา” มีส่วนช่วยกระตุ้นและวางรากฐานทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง รวมถึงเพิ่มรายได้ให้ประเทศ ซึ่งนโยบายประยุทธ์โนมิคส์ประ-กอบด้วย 3 ด้านสำคัญ คือ การปฏิรูปการคลัง การปฏิรูปภาคอุตสาหกรรม และการปฏิรูปภาครัฐ โดยการปฏิรูประบบภาษี แต่ไทยยังมีความเสี่ยง 3 ปัจจัย คือปัญหาด้านหนี้ครัวเรือนที่เพิ่มสูงขึ้น ทำให้มีกำลังซื้อลดลง ปัญหาขาดแคลนแรงงาน เนื่องจากประชากรกลุ่มวัยทำงานลดจำนวนลง และปัญหาโครงสร้างการส่งออก ซึ่งต้องติดตามว่า นโยบายภาครัฐจะรับมือปัญหานี้ได้มากน้อยแค่ไหน กระนั้นก็ตาม ในช่วงที่ผ่านมา 4 เดือน หลังการยึดอำนาจ 22 พฤษภาคม 2557 คณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือ “คสช.” ก็เน้นการขับเคลื่อนเศรษฐกิจด้วยการ “เพิ่มกำลังซื้อ” ให้กับกลุ่มผู้มีรายได้น้อย โดยเฉพาะกลุ่มข้าราชการระดับล่าง ผ่านการขึ้นเงินเดือน-ค่าตอบแทนที่ศึกษาและนำเสนอโดยกระทรวงการคลัง ซึ่งล่าสุด “นายรังสรรค์ ศรีวรศาสตร์” ปลัดกระทรวงการคลัง นำเสนอต่อ คสช. ว่า ขณะนี้มีการความคืบหน้าการปรับโครงสร้างบัญชีเงินเดือนข้าราชการโดยกรมบัญชีกลาง สรุปวงเงินที่จะใช้สำหรับการปรับขึ้นเงินเดือนตามนโยบายของ คสช. เรียบร้อยแล้ว โดยหลักการขึ้นเงินเดือนนั้นจะมีอยู่ 3 ส่วน คือ 1.ปรับเพิ่มค่าครองชีพชั่วคราวให้ข้าราชการและลูกจ้างประจำชั้นผู้น้อย 2.ปรับเพิ่มเงินช่วยค่าครองชีพให้แก่ผู้รับเบี้ยหวัดบำนาญ และ 3.ปรับเงินค่าจ้างให้แก่ลูกจ้าง ทั้งนี้ ความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (ก.พ.) ได้เสนอให้ปรับขึ้นเงินเดือนข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของรัฐทุกคนในปีงบประมาณ 2558 ในอัตรา 8% โดยเทียบเคียงจากดัชนีราคาผู้บริโภคปีปัจจุบันที่อยู่ระดับ 7.2% จึงมีแนวโน้มสูงว่า การปรับขึ้นเงินเดือนครั้งใหม่ ซึ่งจะมีผลในวันที่ 1 เมษายน 2558 จะมีกลุ่มข้าราชการ ลูกจ้าง และข้าราชการทหาร ตำรวจ พลเรือน ได้รับประโยชน์รวม 2.7 ล้านคน ประกอบด้วยข้าราชการ 1.7 ล้านคน, ลูกจ้างประจำ 1.61 แสนคน, พนักงานราชการ 2.19 แสนคน และข้าราชการเกษียณที่รับเบี้ยหวัดบำนาญอีก 6.12 แสนคน อย่างไรก็ตาม ในช่วงที่ผ่านมา สำนักงาน ก.พ. และสำนัก งานสถิติแห่งชาติ ได้มีการสำรวจค่าตอบแทนภาคเอกชนเพื่อนำข้อมูลมาใช้ในการเปรียบเทียบโครงสร้างและอัตราค่าตอบแทนระหว่างเอกชนและภาคราชการนำเสนอคณะกรรมการเงินเดือนแห่งชาติ (กงช.) ไปปรับปรุงค่าตอบแทนในภาครัฐให้มีความเหมาะสมต่อไป ข้อมูลจากการสำรวจในปี 2556 มีสถานประกอบการอยู่ในขอบข่าย 9,475 แห่ง แบ่งเป็นกิจการเศรษฐกิจ 9,279 แห่ง และกิจกรรมโรงพยาบาลเอกชน 196 แห่ง ธุรกิจที่มีพนักงานประจำตั้งแต่ 101 คนขึ้นไป เก็บรวบรวมข้อมูลในช่วงเดือนพฤษภาคม โดยเก็บข้อมูลสถานประกอบการภาคเอกชนทั่วประเทศ ที่ประกอบกิจกรรมเศรษฐกิจเกี่ยวกับเหมืองแร่ เหมืองหิน การผลิต การไฟฟ้า ก๊าซ ไอน้ำ และระบบปรับอากาศ การกำจัดน้ำเสีย การจัดการของเสีย และสิ่งปฏิกูล การก่อสร้างและการขายส่งการขายปลีก นอกจากนี้ ยังมีกิจการประเภทการซ่อมแซมยานยนต์และจักรยานยนต์ การขนส่งทางบก คลังสินค้า ที่พักแรม การบริการด้านอาหาร ข้อมูลข่าวสารและการสื่อสาร กิจการทางการเงินและการประกันภัย กิจการอสังหาริมทรัพย์ กิจกรรมทางวิชาชีพ วิทยาศาสตร์ กิจกรรมโรงพยาบาลเอกชน และธุรกิจบันเทิง กิจกรรมบริการด้านอื่นๆ ผลการสำรวจระบุด้วยว่า ในช่วง 16 ปีที่ผ่านมา พนักงานเอกชนมีแนวโน้มค่าตอบแทนเฉลี่ยสูงขึ้นมาโดยตลอด ค่าตอบแทนของพนักงานเอกชน ตามกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ “สูงที่สุด” คือ พนักงานที่ทำงานในสถานประกอบการไฟฟ้า ก๊าซ ไอน้ำ และระบบปรับอากาศ ได้ค่าตอบแทนเฉลี่ยเดือนละ 83,748 บาท รองลงมาคือ สถานประกอบกิจการเหมืองแร่ เหมืองหิน ได้ค่าตอบแทนเดือนละ 69,636 บาท กิจการขนส่ง คลังสินค้า กิจการข้อมูลข่าวสาร ได้รับค่าตอบแทนเดือนละ 67,483-68,640 บาท ส่วนพนักงานประจำในสถานประกอบการอื่นๆ ได้ค่าตอบแทนเฉลี่ยต่อเดือน 44,777-65,000 บาท หากเทียบระดับตำแหน่งจะพบว่า ในตำแหน่งระดับผู้อำนวยการฝ่าย ได้ค่าตอบแทนสูงที่สุด ประมาณ 134,193 บาทต่อเดือน (ไม่รวมโบนัส) ระดับผู้จัดการแผนก ได้ค่าตอบแทนเดือนละ 72,321 บาท ระดับหัวหน้างานที่มีวุฒิปริญญาตรีขึ้นไป ได้เงินค่าตอบแทนเดือนเฉลี่ย 25,513-41,631 บาท ส่วนผู้ปฏิบัติงานวุฒิต่ำกว่าปริญญาตรี ได้ค่าตอบแทนเฉลี่ย 16,185 บาท สำหรับค่าตอบแทนของพนักงานประจำในโรงพยาบาลเอกชน ระดับผู้อำนวยการได้รับค่าตอบแทนเฉลี่ยสูงสุด อัตรา 206,566 บาทต่อเดือน ตำแหน่งรองผู้อำนวยการได้รับ 131,403 บาทต่อเดือน กลุ่มงานผู้ช่วยผู้อำนวยการ/หัวหน้าฝ่าย/ผู้อำนวยการฝ่าย ได้รับเงินเดือน 95,006 บาท และ 59,380 บาท ส่วนหัวหน้าแผนก ผู้จัดการแผนก ได้ค่าตอบ แทนไม่เกินเดือนละ 42,000 บาท ในส่วนของค่าตอบแทนแพทย์ ตำแหน่งแพทย์เฉพาะทางได้รับค่าตอบ แทนเฉลี่ยสูงสุด เดือนละ 169,483 บาท รองลงมาคือทันตแพทย์และแพทย์ทั่วไป ได้รับ 120,809 บาท 108,350 บาทตามลำดับ เภสัชกรจะได้เงินเดือน 32,511 บาทต่อเดือน ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่บริการทางการแพทย์ นักรังสีวิทยา ได้เงินเดือน 36,452 บาท ส่วนนักเทคนิคการแพทย์ กายภาพบำบัด ได้รับค่าตอบแทน 28,226-29,066 บาท ตามลำดับ ขณะที่ตำแหน่งนักโภชนาการ ได้รับเงินค่าตอบแทนเฉลี่ยน้อยที่สุดในกลุ่มนี้ คือ เดือนละ 24,072 บาท หากแบ่งตามกลุ่มวุฒิการศึกษาจะพบว่า กลุ่มพนักงานใหม่แรกบรรจุ ที่มี วุฒิปริญญาตรีหรือเทียบเท่า พบว่าอาชีพเภสัชกร ได้ค่าตอบแทนสูงสุด คือ 20,003 บาท รองลงมาคือ ตำแหน่งสถาปนิก และนักทรัพยากรธรณี ได้รับ 18,266 บาท และ 18,039 บาท ตามลำดับ กลุ่มพนักงานใหม่ ที่แรกบรรจุในวุฒิปริญญาโท/เอก หรือเทียบเท่า พบว่า ตำแหน่งแพทย์ ได้รับเงินเดือนแรกเข้าสูงกว่าตำแหน่งอื่น ประมาณ 63,082 บาท