SCB CIO แนะทยอยสะสมหุ้นกู้เอกชนทั่วโลก

วันพฤหัสบดีที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2565

SCB CIO แนะทยอยสะสมหุ้นกู้เอกชนทั่วโลก


SCB CIO มองครึ่งหลังปีนี้แนวโน้มเงินเฟ้อ-ดอกเบี้ยทยอยลดอัตราเร่ง ขณะที่เศรษฐกิจสหรัฐโตชะลอตัวลงต่อเนื่อง ส่งผลให้เส้นอัตราผลตอบแทนของพันธบัตร (Yield curve) ทยอยปรับลดลง ชี้เป็นโอกาสทยอยสะสมตราสารหนี้ต่างประเทศ-หุ้นกู้ชั้นดี แนะเลี่ยงลงทุนหุ้นกู้เอกชนจีน โดยเฉพาะหุ้นกู้ High Yield  อสังหาฯ ระบุเศรษฐกิจจีนยังมีแนวโน้มชะลอตัวลงต่อเนื่อง  

 
นายศรชัย สุเนต์ตา ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารฝ่าย SCB Chief Investment office (SCB CIO) ธนาคารไทยพาณิชย์ เปิดเผยว่า ภาพรวมการลงทุนในตลาดสินทรัพย์เสี่ยง เช่น ตลาดหุ้นโลก ยังมีความไม่แน่นอนสูง จึงประเมินการลงทุนในตลาดตราสารหนี้และกองทุนตราสารหนี้ เห็นว่า ระดับราคาในปัจจุบัน เริ่มมีความน่าสนใจ จากการที่อัตราดอกเบี้ยของสหรัฐฯ ทั้งอัตราดอกเบี้ยพันธบัตรระยะสั้นและระยะยาวเริ่มปรับตัวขึ้นถึงระดับที่คาดว่ารับข่าวการขึ้นของดอกเบี้ยนโยบายที่จะเกิดขึ้นอีกหลายครั้งในอนาคตตลอดทั้งปี 2022 ไปแล้ว แม้ว่าความผันผวนในตลาดตราสารหนี้ยังคงมีอยู่ก็ตาม แต่การปรับขึ้นของผลตอบแทนพันธบัตรและหุ้นกู้เอกชน นับจากนี้ไปจะไม่รุนแรงเหมือนช่วง 5 เดือนที่ผ่านมา และความผันผวนน่าจะทยอยลดลงจากการคาดว่าอัตราเงินเฟ้อในสหรัฐฯ มีแนวโน้มผ่านจุดสูงสุดในไตรมาส 2 นี้ และจะทยอยปรับลดลง ทำให้ผลกระทบโดยตรงต่อการลงทุนในตลาดตราสารหนี้โลก ที่ราคาจะปรับตัวลดลงเหมือนช่วง 5 เดือนแรก มีโอกาสน้อยลง

SCB CIO จึงแนะนำให้เริ่มทยอยลงทุนในตราสารหนี้ภาคเอกชนและกองทุนตราสารหนี้ ทั้งตราสารต่างประเทศและตราสารหนี้ไทยที่มีอันดับเครดิตมีความน่าเชื่อถือสูง (Investment Grade ) เช่น หุ้นกู้ของบริษัทเอกชนที่มีอันดับตั้งแต่ A- ขึ้นไป โดยสามารถเพิ่มอายุเฉลี่ยการลงทุน และลงทุนในตราสารหนี้ที่มีอายุยาวขึ้นได้ แต่ให้หลีกเลี่ยงการลงทุนในกองทุน high yield กลุ่มตราสารหนี้ที่มีอันดับความน่าเชื่อถือต่ำ (Non-Investment Grade) และตราสารหนี้ที่จ่ายดอกเบี้ยสูงแต่มีระดับ credit rating ต่ำกว่าอันดับที่สามารถลงทุนได้ (High Yield) เพราะเศรษฐกิจข้างหน้ามีแนวโน้มที่จะชะลอตัวลงอาจจะส่งผลต่อความสามารถในการชำระหนี้ของบริษัทที่มี balance sheet ไม่แข็งแรงได้

สำหรับภาพรวมการลงทุนในตลาดตราสารหนี้โลก ตั้งแต่ต้นปียังคงได้รับผลกระทบจากราคาตราสารหนี้ที่ปรับตัวลดลงมาก เนื่องจากผลกระทบของทิศทางดอกเบี้ยขาขึ้นที่รวดเร็วและขนาดการขึ้นที่ใหญ่กว่าเดิม เช่นเดียวกับตลาดหุ้นที่ได้รับผลกระทบราคาหุ้นปรับตัวลดลงมากทั่วโลก หากพิจารณาผลตอบแทนของตราสารหนี้ในทุกกลุ่มตั้งแต่ต้นปี ติดลบเกือบทั้งหมด โดยเฉพาะตราสารหนี้ที่มีอายุเฉลี่ย (duration) ยาวและตราสารหนี้ที่มีอันดับความน่าเชื่อถือต่ำ (Non-Investment Grade) ซึ่งการลงทุนในตราสารหนี้ในช่วงที่ผ่านมา ได้รับผลกระทบมากจากการที่ Fed เปลี่ยนแนวโน้มการขึ้นดอกเบี้ยนโยบายเข้าสู่การขึ้นดอกเบี้ยอย่างรุนแรงและรวดเร็ว ทำให้นักลงทุนลดขนาดของการลงทุนลง หันมาเพิ่มการถือครองเงินสดและถือสภาพคล่องมากขึ้น ทำให้เส้นอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล (Government Yield Curve) และเส้นอัตราผลตอบแทนดอกเบี้ยหุ้นกู้ภาคเอกชน (Corporate Yield Curve) ต่างปรับสูงขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงก่อนหน้า ส่งผลให้ราคาพันธบัตรและหุ้นกู้ภาคเอกชนปรับลดลงมาก (ราคาตราสารหนี้แปรผกผันกับอัตราดอกเบี้ย)

นายศรชัย กล่าวต่อไปว่า ตลาดตราสารหนี้โลกรับรู้ผลกระทบ (price in) ในประเด็นดอกเบี้ยขาขึ้นและผลกระทบต่อตลาดตราสารหนี้โลกไปแล้ว มองว่าในปัจจุบันตลาดตราสารหนี้เริ่มกลับมามีความน่าสนใจ สังเกตจากการที่อัตราดอกเบี้ยพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 10 ปี ได้ปรับขึ้นจากระดับเฉลี่ยในช่วงต้นปีที่ 1.5% ต่อปี มาอยู่ที่ระดับ 2.8-3% ต่อปี ในปัจจุบัน ซึ่งนับเป็นการเพิ่มขึ้นถึงเท่าตัวในช่วงเวลาเพียง 5 เดือน

ทั้งนี้ SCB CIO ประเมินระดับเงินเฟ้อในสหรัฐฯ มีแนวโน้มผ่านจุดสูงสูดในช่วงไตรมาส 2 และกำลังจะทยอยปรับลดลงในระยะข้างหน้าถึงแม้เงินเฟ้ออาจปรับลดลงช้ากว่าที่คาด ประกอบกับปัจจัยตลาดมองว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ เริ่มมีแนวโน้มการเติบโตในอัตราที่ชะลอลงอย่างต่อเนื่อง ทำให้คาดได้ว่าอนาคต เส้นอัตราผลตอบแทน (yield curve) อาจจะเริ่มทยอยปรับลดลง จึงมองโอกาสการลงทุนอยู่ในหุ้นกู้ชั้นดีของบริษัทภาคเอกชนโลก เช่น ตราสารหนี้ระดับ Investment Grade เช่น อันดับ A- เป็นต้นไป มีความน่าสนใจจากผลตอบแทนที่สูงขึ้นมาก นักลงทุนสามารถทยอยกลับเข้ามาลงทุนได้ อย่างไรก็ดี แนะนำให้หลีกเลี่ยงการลงทุนในกลุ่มตราสาร Non-Investment Grade เนื่องจากมีโอกาสการผิดนัดชำระหนี้ (default rate) อาจเพิ่มขึ้นได้ในช่วงที่เศรษฐกิจเริ่มชะลอตัว รวมถึงแนะนำให้หลีกเลี่ยงการลงทุนในหุ้นกู้ภาคเอกชนของจีน โดยเฉพาะหุ้นกู้ High Yield ของจีนในภาคอสังหาริมทรัพย์ เนื่องจากมองเศรษฐกิจจีนอยู่ในแนวโน้มชะลอตัวต่อเนื่องจากผลกระทบของการระบาดในจีนและการกลับมาใช้นโยบายปิดเมือง

ด้านหุ้นกู้ภายในประเทศไทย เช่น หุ้นกู้ภาคเอกชน มองว่าดอกเบี้ยพันธบัตรระยะยาวของไทยได้ปรับขึ้นตามดอกเบี้ยพันธบัตรสหรัฐฯไปแล้ว แม้ว่าดอกเบี้ยนโยบายของไทยยังไม่ปรับขึ้น โดยที่ธปท.มีแนวโน้มคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้เพื่อสนับสนุนเศรษฐกิจ ตลาดตราสารหนี้ไทยจึงเริ่มมีความน่าสนใจมากขึ้น ทั้งจากดอกเบี้ยนโยบายไทยที่จะขึ้นช้ากว่าเมื่อเทียบกับอัตราดอกเบี้ยนโยบายประเทศอื่น และหากจะมีการปรับขึ้น เราคาดว่าระดับการขึ้นของดอกเบี้ยนโยบายไทย จะน้อยกว่าประเทศสหรัฐ ดังนั้นการลงทุนในหุ้นกู้เอกชนไทยที่มีอันดับความน่าเชื่อถือระดับ investment grade เช่นอันดับ A – เป็นต้นไป จึงน่าสนใจทยอยเข้าลงทุนเช่นกัน

 SCB CIO แนะนำกลยุทธ์การลงทุนในตราสารหนี้ ต้องพิจารณาทั้งจากสัดส่วนการลงทุนและอายุเฉลี่ยตราสารในการลงทุน แนะจัดสัดส่วนประเภทของตราสารหนี้ให้เหมาะกับความเสี่ยงของการลงทุน โดยพิจารณาจากอันดับความน่าเชื่อถือและประเภทของตราสาร ด้านอายุเฉลี่ยของตราสารหนี้จะเน้นอายุเฉลี่ยของตราสารที่สั้นไม่เกิน 1-2 ปี  โดยทยอยเพิ่ม duration ของพอร์ตการลงทุน เน้นเลือกหุ้นกู้ภาคเอกชนที่มีอันดับความน่าเชื่อถือสูง เช่น อันดับตั้งแต่ A- ขึ้นไป ทั้งนี้ จึงมองว่าการลงทุนในกองทุนตราสารหนี้ และ ตราสารหนี้โลกและตราสารหนี้ไทยที่มีคุณภาพตราสารดี (Investment Grade) ต่อจากนี้ไป จะมีความเสี่ยงด้านต่ำ (downside risk) ที่น้อยกว่าช่วงต้นปี อย่างไรก็ดี ยังแนะนำหลีกเลี่ยงกลุ่มตราสารหนี้อันดับความน่าเชื่อถือต่ำ (Non-Investment Grade) และตราสารหนี้ที่ต่ำกว่าอันดับที่สามารถลงทุนได้ (High Yield) เนื่องจากอาจมีโอกาสผิดนัดชำหระหนี้สูงขึ้นได้ในช่วงที่เศรษฐกิจโลกเริ่มชะลอตัว


******************************


สสส.สร้างเครือข่ายครู-นร.กันปัจจัยเสี่ยง-หวั่นวัยรุ่นดื่มเหล้า-พี้ยาหนัก

สสส. ห่วงวัยรุ่นไทยดื่มเหล้าสูบบุหรี่หนัก เสี่ยงผลกระทบสุขภาพ เร่งอบรมสร้างเครือข่ายครู-นักศึกษาอาชีวะป้องกันปัจจัยเสี่ยง เชื่อรณรงค์ปากต่อปากได้ผลดี ชูต้นแบบ "สมุทรสงคราม" วางการทำงาน 4 ด้านสกัดปัจจัยเสี่ยง ตั้งเป้ามี.ค. 66 สารเสพติดในสถานศึกษาเป็นศูนย์ 
 
เมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม 2565 ที่โรงแรมมิราเคิล แกรนด์ คอนเวนชั่น สำนักงานคณะกรรมการอาชีวศึกษา(สอศ.) ร่วมกับสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) และมูลนิธิรณรงค์หยุดพนัน ได้มีการจัดแถลงข่าวโครงการพัฒนาเครือข่ายและหนุนเสริมศักยภาพครูแกนนำ นักศึกษาอาชีวป้องกันปัจจัยเสี่ยง (เหล้า บุหรี่)ในสถานศึกษา
 
นายสง่า แต่เชื้อสาย ผู้ช่วยเลขาธิการ สอศ.กล่าวว่า โครงการพัฒนาเครือข่ายและหนุนเสริมศักยภาพครูและแกนนำนักศึกษาอาชีวศึกษา ป้องกันปัจจัยเสี่ยง (เหล้า บุหรี่) สอดคล้องกันนโยบายของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ซึ่งจะเน้นเรื่องการจัดการศึกษาเพื่อความปลอดภัย โดยสอศ.ได้จัดตั้งศูนย์บริหารจัดการความปลอดภัย 25 แห่ง ครอบคลุมทั้ง 4 ภูมิภาค ซึ่งจะผลิตและพัฒนากำลังคนอาชีวศึกษา (Center of Vocational Manpower Networking Management : CVM) เพื่อขับเคลื่อนการบูรณาการการดำเนินงานในวิทยาลัยอาชีวศึกษาและภาคีเครือข่ายที่เกี่ยวข้อง สร้างกระแสและความตระหนักด้านการส่งเสริมสุขภาวะและช่วยเหลือกลุ่มเสี่ยง (เหล้า บุหรี่) ในนักศึกษาระดับอาชีวศึกษา ซึ่งการอบรมจะมีขยายการดำเนินการให้ครอบคลุมสถานศึกษาในเครือข่ายต่อไป
 
นางสาวรุ่งอรุณ  ลิ้มฬหะภัณ ผู้อำนวยการสำนักสนับสนุนการควบคุมปัจจัยเสี่ยงทางสังคม (สสส.) กล่าวว่า แอลกอฮอล์และยาสูบไม่เพียงส่งผลต่อสุขภาพเฉพาะผู้ที่ดื่มหรือผู้สูบเท่านั้น แต่ยังส่งผลกระทบต่อคนรอบข้างที่ได้รับความเดือดร้อนจากการสูบการดื่มด้วย เช่น ควันมือสอง อุบัติเหตุ ความรุนแรงในครอบครัว เป็นต้น และยังส่งผลกระทบเชิงเศรษฐกิจของสังคมประเทศอีกด้วย 

ทั้งนี้ สสส. จึงมุ่งเน้นการทำงานเพื่อป้องกันเด็กเยาวชนให้ห่างไกลจากปัจจัยเสี่ยงต่างๆ  ซึ่งผลสำรวจพบว่าในเยาวชนถูกรายล้อมด้วยความเสี่ยงรอบด้าน เช่น ข้อมูลสำรวจจากศูนย์วิจัยและจัดการความรู้เพื่อการควบคุมยาสูบ พบว่ากลุ่มวัยเรียนมัธยมปลายมีพฤติกรรมการสูบบุหรี่ไฟฟ้าสูงที่สุด (46.4%) เมื่อเทียบกับทุกกลุ่มวัย โดยเริ่มสูบเพราะมีรสและกลิ่นที่หอมและคิดว่าดีกว่าบุหรี่มวน  หาซื้อได้ง่ายจากช่องทางออนไลน์ ขณะที่ข้อมูลจากศูนย์ศึกษาปัญหาการพนันปี 2564 พบเยาวชน (อายุ 15-25ปี) 4.3 ล้านคนเล่นพนัน ด้านอุบัติเหตุทางถนน จากข้อมูลบูรณาการ 3 ฐาน กรมควบคุมโรค พบว่าช่วงอายุ 15-19 ปีมีอัตราการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุมากกว่ากลุ่มอายุอื่นๆ โดยมีสาเหตุจากการดื่มแล้วขับและขับรถเร็ว เป็นต้น 

ดังนั้นการสร้างความรอบรู้ทางด้านสุขภาพ (Health Literacy) ให้เยาวชนจึงเป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้เยาวชนเท่าทันต่อเหตุการณ์ต่างๆและสามารถตัดสินใจได้อย่างมีคุณภาพ ซึ่งในยุคที่ขับเคลื่อนโดยสื่อสังคมออนไลน์ การสื่อสารจึงเป็นสิ่งสำคัญ ประกอบกับวัยรุ่นเป็นช่วงวัยที่ให้ความสำคัญกับเพื่อนเป็นหลัก เนื่องจากสื่อสารกันได้ง่ายและเข้าใจกันมากกว่า  จึงเป็นที่มาของโครงการพัฒนาเครือข่ายและหนุนเสริมศักยภาพครูและแกนนำนักศึกษาอาชีวศึกษา ป้องกันปัจจัยเสี่ยง (เหล้า บุหรี่) ในสถานศึกษาที่เน้นการเสริมศักยภาพให้กับเยาวชนแกนนำนักเรียน ผ่านการสร้างสรรค์สื่อ และสื่อสารผ่านช่องทางออนไลน์ ทั้งนี้สสส.ได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดีจากสถาบันอาชีวศึกษาที่สนับสนุน ร่วมสร้างหลักสูตรแกนนำ และก่อให้เกิดแกนนำอาชีวศึกษาป้องกันปัจจัยเสี่ยงฯในสถานศึกษา
 
นายพีระพงษ์ เผือกเหลือง รองผู้อำนวยการวิทยาลัยเทคนิคสมุทรสงคราม กล่าวว่า การดำเนินงานในพื้นที่มีอยู่ 4 ด้าน ด้านที่ 1 การพัฒนาองค์ความรู้ให้กับบุคลากรในสถานศึกษาในพื้นที่ทั้งด้านสุขภาพ การบำบัดรักษ่ ด้านกฎหมาย พร้อมจัดทำสื่อประชาสัมพันธ์เผยแพร่ความรู้ ด้านที่ 2 ส่งเสริมสนับสนุนการสร้างเครือข่ายด้านสารเสพติด หรือสิ่งเสพติดคือ โดยมีการตั้งกรุ๊ปไลน์ออกแนวปฏิบัติในการเข้าไปดูแลตรวจสอบ 

ด้านที่ 3 การบริหารจัดการเชิงรุก และเชิงรับ โดยมีการจัดตั้งศูนย์บริการป้องกันและแก้ไขปัญหาสารเสพติดในสถานศึกษา มีการคัดกรองเด็กกลุ่มปกติ กลุ่มเสี่ยง และกลุ่มที่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับสารเสพติดแล้ว เพื่อดำเนินการแก้ไขปัญหาต่อไป เช่น มีการตรวจสุขภาพนักศึกษา การจัดสายตรวจ การสำรวจกลับไปยังครอบครัว เป็นต้น และด้านที่ 4 คือการเสริมแรง โดยจัดหาทุนการศึกษา และมอบเข็มเชิดชูนักเรียนที่เคยมีปัญหาแล้วกลับใจ เข้ามาเป็นสายจับตาและส่งข้อมูลการใช้สารเสพติด เหล้าบุหรี่ในโรงเรียน ส่วนครูอาจารย์ จะเพิ่มคะแนนการประเมินผลงานในแต่ละปี

“ก่อนที่ผมจะเข้ามาทำงานที่นี่ ถือว่ามีปัญหามาก มีร้านค้ามาขายเหล้าขายบุหรี่หน้าสถานศึกษา ทั้งที่เป็นเรื่องที่ผิดกฎหมาย การแจ้งกับเจ้าหน้าที่ตำรวจได้จับประสานมิตรเข้าไปดำเนินการตักเตือนป้องปรามสุดท้ายก็สามารถลดปัญหาได้เยอะมีการกำกับการขายให้กับนักเรียนนักศึกษา ปัจจุบัน เหลือไม่ถึง 1% เช่น เปิดเทอมมาได้ 2 สัปดาห์ สามารถตรวจจับคนที่มีบุหรี่ 2 คน จากนักเรียนทั้งหมดกว่า 2,500 คน ขณะนี้เราตั้งเป้าว่าในปีงบประมาณนี้หรือภายในมีนาคม 2566 สิ่งเสพติดและสารเสพติดในสถานศึกษาจะต้องเป็นศูนย์ ซึ่งต้องอาศัยการทำงานจริงจัง” นายพีระพงษ์ กล่าว
 



บริษัท สมาร์ท โกลด์ มีเดีย กรุ๊ป จำกัด SMART GOLD MEDIA GROUP CO.,LTD. ติดต่อสอบถาม ID Line : @siamturakij และ ฝ่ายโฆษณา siamturakijadvertising@gmail.com
© 2013 สยามธุรกิจ