นายภาณุศักดิ์ ซื่อสัตย์บุญ ผู้จัดการทั่วไป เดอะ พิซซ่า คอมปะนี ภายใต้การดำเนินการของ บริษัท เดอะ ไมเนอร์ ฟู้ด กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า อย่างที่ทราบกันว่าทางเราได้เปิดตัวแบรนด์น้องใหม่ ชิค-อะ-บูม ไก่ทอดสไตล์อเมริกันคลุกซอสสูตรพิเศษ ที่เพิ่งเปิดตัวไปเมื่อปลายปีที่ผ่านมา เจาะกลุ่มเป้าหมายวัยรุ่นและวัยเพิ่งเริ่มทำงาน ที่ได้ตั้ง “ชิค-อะ-บูม ป็อปอัพ สโตร์” ขึ้นวางจำหน่ายในร้านเดอะพิซซ่า คอมปะนี ทั้งในเขตกรุงเทพฯ และหัวเมืองใหญ่ในต่างจังหวัด ในรูปแบบนั่งทานในร้าน (Dine In) และบริการซื้อกลับบ้าน (Take Away) เท่านั้น ไม่มีรูปแบบเดลิเวอรี่ เพราะต้องการเน้นให้ลูกค้ากลับเข้ามานั่งรับประทานในร้านมากขึ้น แต่ปรากฏว่าหลังจากผ่านไปประมาณ 3 เดือนหลังจากที่เราได้ลองเปิดจำหน่ายเพียงแค่รูปแบบนั่งทานที่ร้านกับซื้อกลับบ้าน ผลตอบรับยังไม่เป็นที่น่าพอใจมากนัก เนื่องจากที่เราคาดหวังว่าหลังจากมาตราการป้องกันโควิดได้ผ่อนคลายและเปิดประเทศแล้วผู้บริโภคจะหันกลับมานั่งทานที่ร้านมากขึ้น แต่กลับเป็นว่าผู้บริโภคกลับมานั่งทานที่ร้านน้อยกว่าร้านอาหารอย่าง ปิ้งย่าง สุกี้ ชาบู ฯลฯ ที่เคยปิดบริการไปในช่วงล็อกดาวน์มากกว่า มานั่งทานอาหารร้านพิซซ่า อาจจะเนื่องมาจากตอนที่ปิดบริการไปผู้บริโภคได้สั่งพิซซ่าเดลิเวอรี่ไปทานกันบ่อยแล้ว จึงทำให้ยอดผู้บริโภคกลับเข้ามานั่งทานที่ร้านพิซซ่ายังไม่เพิ่มมากเท่าไหร่ คิดเป็นเปอร์เซ็นมองว่ากลับมาเพียง 60 % เท่านั้น
แต่อย่างไรก็ตาม ในใตรมาสที่ 1 ของปีนี้ เราก็ยังถือว่ามีอัตราการเติบโตมากขึ้นกว่าปีที่แล้ว 5-6 % โดยช่องทางเดลิเวอรี่มีสัดส่วนยังเติบโตดีอยู่ที่ 50 % และซื้อกลับบ้านอยู่ที่ 30 % ดังนั้น ทำให้ขณะนี้เราจึงได้มีการปรับการขายชิค-อะ-บูม ไก่ทอด เพื่มในช่องทางเดลิเวอรี่เพิ่มอีกช่องทางด้วย
ล่าสุด เราจึงได้ได้วางกลยุทธ์ขยายไลน์เมนูไก่ทอดให้มีความหลากหลายมากขึ้น เพื่อตอบโจทย์คนรุ่นใหม่ที่ไม่ชอบอะไรจำเจ โดยความใหม่ครั้งนี้มาพร้อมกับความพิเศษที่อยากให้ลอง กับเมนูล่าสุด ‘ชิค-อะ-บูม บิ๊กชิค’ ไก่กรอบแป้งคราฟต์ อร่อยเข้าเนื้อ รสเด็ดถึงเครื่องไม่เหมือนใคร ที่มาในรูปแบบไก่กรอบไซส์ใหญ่คับปากเต็มคำ หมักจนเข้าเนื้อด้วยเครื่องเทศหอมกลมกล่อมไม่เหมือนใครในขณะที่ จุดเด่นของเมนู ‘ชิค-อะ-บูม บิ๊กชิค’ มีความพิเศษตรงที่ความกรอบของหนังไก่ที่ผสานเข้ากันกับแป้งคราฟต์สูตรเฉพาะของเดอะ พิซซ่า คอมปะนี ทำให้ได้รสสัมผัสของความกรอบที่ชัดเจน ขณะที่เนื้อด้านในมีความหอม นุ่มละมุน กัดเข้าไปจะได้ทั้งความกรอบและความฉ่ำ ตามคอนเซ็ปต์ “ไก่กรอบแป้งคราฟต์ อร่อยเข้าเนื้อ ฉ่ำเด็ดทุกคำ” ซึ่งจัดเต็มมาให้เลือกทานได้ทุกส่วน ตั้งแต่ส่วนน่อง สะโพก อก และ ปีก เป็นต้น
“จากการศึกษาพฤติกรรมผู้บริโภคกับการเลือกสั่งเมนูอาหารของเดอะ พิซซ่า คอมปะนี ที่พบว่าส่วนใหญ่ผู้บริโภคจะเลือกสั่งพิซซ่าทานคู่กับเมนูไก่ ซึ่งเมนูไฮไลท์ที่ผู้บริโภคมักจะชอบสั่งมาทานคู่กัน เช่น ปีกไก่บาร์บีคิว ปีกไก่ทอดสไตล์เกาหลี ฯลฯ ทางแบรนด์จึงมองเห็นโอกาสการเติบโตของแบรนด์ ชิค-อะ-บูม เพื่อบุกตลาดไก่ทอดที่ปัจจุบันมีมูลค่าตลาดอยู่ที่ 3 หมื่น กว่าล้านบาท (ไม่รวมไก่ทอดข้างทาง) ให้มีแตกต่างแบบเต็มตัว และเป็นการต่อยอดฐานกลุ่มผู้บริโภคที่มีอยู่เดิมให้เพิ่มมากขึ้น โดยปีนี้เราได้เตรียมงบทำตลาดแบรนด์ดังกล่าวไว้ที่ 10 ล้านบาท (จากงบตลาดรวมพิซซ่า)ในการพัฒนาเมนูไก่ใหม่ๆเข้ามาช่วยเพิ่มความหลากหลาย เสริมความแปลกใหม่ให้กับแบรนด์ อีกทั้งจะเพิ่มความสะดวกสบายในการสั่งผ่านแอปพลิเคชัน ก็สั่งได้ง่ายๆ ไม่ยุ่งยาก จะมานั่งทานที่ร้าน หรือสั่งผ่านบริการเดลิเวอรีก็สามารถสั่งได้ครบจบในที่เดียวเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคได้อย่างลงตัวอีกด้วย”
ทั้งนี้ คาดว่าหลังจากเปิดตัว ‘ชิค-อะ-บูม บิ๊กชิค’ คาดว่าปีนี้จะช่วยกระตุ้นยอดขายไก่เติบโต 60 % และตั้งเป้าว่าบริษัทจะมีสัดส่วนรายได้จากขายไก่ประมาณ 30 % จากยอดขายรวมเดอะ พิซซ่า คอมปะนีทั่งหมดในปีนี้เช่นกัน
สำหรับแบรนด์พิซซ่า คอมปะนี ก็ยังเป็นแบรนด์หลักที่เรายังคงเดินหน้าทำตลาดอยู่อย่างแน่นอน ซึ่งเราก็ยังคงจะคิดค้นออกสินค้าเมนูและแคมเปญใหม่ๆ ตลอดในปีนี้ ส่วนไก่ทอดนั้น จะเป็นตัวที่เรามาเสริมศักยภาพไลน์อาหารของกลุ่มเดอะ พิซซ่า คอมปะนี ให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้นเพื่อให้ผู้บริโภคมีตัวเลือกกับเมนูอาหารที่หลากหลาย ครบทุกไลน์เมนู
ผู้บริหารกล่าวทิ้งท้ายว่า หลังจากที่ทางรัฐบาลได้ประกาศเปิดประเทศแบบเต็มรูปแบบแล้วในการยกเลิกระบบTest&Go มองว่าเป็นนสิ่งที่ดี เพราะในต่างประเทศแถบอเมริกา ยุโรป ก็ได้กลับมาทำให้ทุกอย่างเป็นปกติแล้ว ดังนั้นถ้าประเทศไทยเรากลับมาทำอะไรให้มันง่าย สะดวกต่อการให้นักท่องเที่ยวเข้ามาได้สบายขึ้นยังไงก็มองว่าส่งผลดีต่อร้านพิซซ่าเราในสาขาที่เป็นจุดของการท่องเที่ยวอย่างสมุย ภูเก็ต มากขึ้น ซึ่งตอนนี้เราก็ได้ทำการเปิดสาขาในแถบจังหวัดดังกล่าวแล้ว 100 % เพียงแต่ว่ายอดขายยังไม่ได้กลับมาดีเท่าไหร่นัก จึงมองว่าถ้าการเปิดประเทศเต็มรูปแบบคาดว่าจะส่งผลให้สถานการณ์ภาพรวมธุรกิจฟื้นตัวขึ้นได้ในไตรมาสที่ 3 และ 4 ของปีนี้ได้อย่างแน่นอน