"บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส" คาดปีนี้จีดีพีไทยเติบโต 3.5% ยืนเป้าดัชนี 1800 จุด แนวโน้มระยะสั้นช่วงไตรมาส 2 หวั่นตลาดผันผวนจากเงินเฟ้อ-ดอกเบี้ยที่กำลังกลับเป็นขาขึ้น ชูธีมการลงทุน“กลุ่มเมตาเวิร์ส-ธุรกิจที่รับประโยชน์จากรถยนต์ไฟฟ้า-กลุ่มเฮลท์แคร์-กลุ่มที่ได้อานิสงค์จากการเปิดประเทศ” มาแรง เปิดโผหุ้นเด่นไตรมาส 2 ยกให้ AOT MINT PTT GPSC BH CPALL ADVANCE
นายธนวัฒน์ ปัจฉิมกุล ผอ.บริหาร ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุนต่างประเทศ บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) กล่าว ในงานสัมมนาออนไลน์หัวข้อ “สู่การลงทุนเหนือชั้น ฝ่ายุค Digital-Metaverse–EV” ว่า แม้เศรษฐกิจจะได้รับผลกระทบทางลบจากราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงและเงินเฟ้อเพิ่มขึ้น แต่กิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ดีขึ้นจะเป็นปัจจัยหนุนการฟื้นตัว และลดความเสี่ยงของภาวะอัตราเงินฝืดหรือ “stagflation” ทั้งนี้ ธนาคารดีบีเอสและฝ่ายวิจัยได้ปรับเพิ่มน้ำหนักลงทุนในหุ้นจีนเป็น “Overweight” หลังจากที่รัฐบาลประกาศนโยบายหนุนเศรษฐกิจและหุ้นจีนราคาไม่แพง พร้อมกับแนะหุ้นกลุ่ม “quality” และตราสารหนี้กลุ่ม Investment Grade ในประเทศพัฒนาแล้ว โดยหุ้นที่เป็น ธีมเด่นคือกลุ่มเฮลท์แคร์ (Healthcare) และการลงทุนทางเลือก เช่นโครงสร้างพื้นฐานและทองคำ
ส่วนมุมมองต่อภาพรวมเศรษฐกิจปี 2565 ประเมินว่า เงินเฟ้อสูงยัง สร้างแรงกดดันต่อธนาคารกลาง โดยฝ่ายวิจัย DBS คาดการณ์ว่าธนาคารกลางสหรัฐหรือ เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 7 ครั้งในปี 2565 และธนาคารกลางยุโรปหรือ ECB จะหยุดทำคิวอี สำหรับอัตราการขยายตัวเศรษฐกิจของไทยในปีนี้คาดว่าจะเติบโต 3.5% ส่วนปี2566 จีดีพีขยายตัว 4.2% ส่วนประเทศสหรัฐอเมริกาประเมินว่าจีดีพีปีนี้โต 3% ส่วนปีหน้า 2% ด้านประเทศจีนประเมินจีดีพีปีนี้ 5.3% ปีหน้า 5% และประเทศในยุโรปจะมีอัตราการขยายตัวของจีดีพี 3% ขณะที่ปีหน้า 2.5%
ส่วนแนวโน้มอัตราแลกเปลี่ยน ประเมินค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ ยังมีแนวโน้มแข็งขึ้นจากการขึ้นดอกเบี้ยของเฟด และสถานการณ์ยูเครน ทำให้นักลงทุนโยกไปถือเงินดอลลาร์ ซึ่ง เป็น safe haven ขณะที่ดอกเบี้ยนโยบายสหรัฐ (Fed fund rate) จะเพิ่มขึ้นมาที่ 2.5% ในปลายปีนี้ และ 3.50% ในช่วงกลางปีหน้า หนุนโดยเงินเฟ้อที่ยังอยู่ในระดับสูง สำหรับปัจจัยเสี่ยงที่ต้องระวัง ประกอบด้วยความผันผวนจากอัตราแลกเปลี่ยน การเปลี่ยนแปลงนโยบายรัฐบาล เทคโนโลยี รวมทั้งสภาวะเศรษฐกิจและอุตสาหกรรม
ด้านนางสาวอาภาภรณ์ แสวงพรรค ผู้อำนวยการบริหาร ฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) กล่าวว่า ทิศทางการลงทุนในปีนี้ยังคงยืนเป้าหมายดัชนีอยู่ที่ระดับ 1800 จุด อิงกับค่าพีอีเรโชว์ 18.9 เท่า โดยตั้งแต่ต้นปี 2565 จนถึงสิ้นสุดวันที่ 12 เมษายน 2565 (YTD) นักลงทุนต่างชาติกลับมามียอดซื้อสุทธิ 1.1 แสนล้านบาท จากช่วง 5 ปีย้อนหลัง คือ ปี 2560-2564 นักลงทุนต่างชาติมียอดขายสุทธิทุกปี รวมขายสุทธิสะสมเท่ากับ 6.7 แสนล้านบาท
ส่วนภาพรวมการลงทุนในไตรมาส 2/65 คาดว่าดัชนีหุ้นยังผันผวน โดยได้รับผลกระทบจาก อัตราเงินเฟ้อที่สูงจากต้นทุนผลัก (Cost Push) เฟดมีโอกาสปรับเพิ่มดอกเบี้ยอัตรา 0.5% ในการประชุม 3-4 พ.ค.นี้ สงครามรัสเซียกับยูเครนที่ยืดเยื้อ รวมทั้งการขึ้นเครื่องหมาย XD หุ้นจำนวนมากในช่วงเดือนเม.ย.-พ.ค. ขณะที่โควิดยังแพร่ระบาดต่อเนื่อง และหนี้ภาคครัวเรือนสูง ย่างไรก็ตาม ตลาดหุ้นในช่วงไตรมาส 2/2565 ยังมีปัจจัยสนับสนุนจากการเปิดเมือง เปิดประเทศ (Reopening) เงินสะพัดจาการหาเสียงเลือกตั้ง รวมถึงการที่ไทยได้รับผลกระทบจากสงครามรัสเซีย-ยูเครนโดยตรงไม่มากนัก กลยุทธ์การลงทุน เน้นสร้างพอร์ตให้มีคุณภาพแข็งแกร่งและเติบโตได้ยั่งยืนในระยะยาว โดยเลือกซื้อสะสมหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดีในจังหวะราคาหุ้นอ่อนตัว
สำหรับธีมการลงทุนในปีนี้ บล.ดีบีเอสฯ แนะนำเลือกลงทุน ธุรกิจในโลกอนาคต หรือเมตาเวิร์ส ที่กำลังมาแรงทั่วโลก ธุรกิจที่รับประโยชน์จากยานยนต์ไฟฟ้า(EV) ที่มีแนวโน้มเติบโตแข็งแกร่ง หุ้นกลุ่มเฮลท์แคร์ (Healthcare) เนื่องจากสังคมสูงวัยที่มีขนาดใหญ่ขึ้นส่งผลให้ความต้องการสินค้าและบริการด้านสุขภาพเพิ่มขึ้น กลุ่มธนาคารและประกันที่ได้อานิสงส์จากอัตราดอกเบี้ยขาขึ้น กลุ่มสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน รวมทั้งกลุ่มท่องเที่ยวที่ทยอยฟื้นตัว หากไม่มีโควิดสายพันธ์ใหม่ที่รุนแรงเข้ามาเพิ่ม
ด้านนายสมบัติ เอกวรรณพัฒนา ผอ.อาวุโส ฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ บล.ดีบีเอสฯ กล่าวว่า บริษัทได้คัดสรรหลักทรัพย์ที่ได้ประโยชน์จากธีมการลงทุนเด่นในไตรมาส2/65 โดยหุ้นที่ข้องกับการท่องเที่ยวฟื้นตัว แนะนำ AOT ราคาเป้าหมายอยู่ที่ 75 บาท จากการที่ประเทศไทยและทั่วโลกทยอยผ่อนคลายข้อจำกัดในการเดินทางเข้าประเทศ ส่งผลให้ธุรกิจบริหารสนามบินกลับมาฟื้นตัวได้เร็ว
ส่วนธุรกิจที่ได้รับผลดีจาการฟื้นตัวทั้งในประเทศและต่างประเทศ แนะนำ MINT ราคาเป้าหมาย 40 บาท จากผลประกอบการพลิกกำไรในไตรมาส 4 ปี 64 เนื่องจากโรงแรมมีการเข้าพักมากขึ้นทั้งในไทย มัลดีฟส์ และยุโรป โดยประเมินว่าการเดินทางจะกลับมาฟื้นตัวได้ตั้งแต่ ไตรมาส 1ปี 65 ขณะที่ NH Hotel เข้าสู่ High Season ในไตรมาส 2 ปี 65 ซึ่งคาดว่าผลประกอบการในไตรมาส2/65 หรือ 2H65 จะมีกำไรกลับมาเท่ากับช่วงก่อนเกิดการแพร่ระบาดโควิด-19
ขณะที่ PTT ยังเป็นหุ้นดีตามราคาน้ำมัน และ EV CAR ในอนาคต แนะนำซื้อ ราคาเป้าหมาย 57.50 บาท ขณะที่ราคาน้ำมันดิบแข็งแกร่งจาก ปัจจัยสงครามรัสเซียและยูเครน ปรับเพิ่มสมมติฐานราคาน้ำมันดิบ BRENT ทำให้คาดการณ์กำไรสุทธิปี 65 และ 66 เพิ่มขึ้นจากเดิม 20% และ 15%
นอกจากนี้ยังแนะนำให้ลงทุนหุ้น GPSC โดยกำหนดราคาเป้าหมายที่หุ้นละ 90 บาท เนื่องจากได้รับผลดีจากอุปสงค์ไฟฟ้าฟื้นตัวและธุรกิจแบตเตอรี่รถ EV รวมทั้งยอดขายไฟฟ้าและไอน้ำเพิ่มตามดีมานด์ลูกค้าอุตสาหกรรมฟื้นตัว และในปี 65 จะมีการทยอย บุ๊กส่วนแบ่งกำไรโซลาร์ฟาร์ม Avaada ในอินเดียที่ถือหุ้น 41.6% นอกจากนี้บริษัทยังจะมีการบันทึกกำไรขายโรงไฟฟ้าที่ญี่ปุ่นประมาณ 600 ล้านบาทในไตรมาส 1 ปี 65
ด้าน ADVANC ยังเป็นหุ้นโดดเด่นในกลุ่มเทคโนโลยี, Domestic Play ราคาเป้าหมาย250 บาท เป็นอีกหุ้นที่ฟื้นตัวตามเศรษฐกิจไทย เน้นธุรกิจในประเทศ ได้ประโยชน์จากการควบรวมกิจการ TRUE-DTAC ทำให้สถานการณ์แข่งขันลดลง
CPALL เป็นหุ้นที่คาดการณ์กำไรปีนี้โตโดดเด่น ราคาเป้าหมาย 75.25 บาท ปีนี้คาดกำไรเติบโต 81% และปี 66 โตต่ออีก 21% ปัจจัยหนุนมาจากการฟื้นตัวของการบริโภคในประเทศ ปรับราคาสินค้าขึ้นตามเงินเฟ้อ, มีรายได้จาก Lotus มาเสริม มีแพลตฟอร์มการขายใหม่ๆ
BH เป็นหุ้นที่ได้ประโยชน์จากการเปิดประเทศและธุรกิจได้ผ่านจุดต่ำสุดมาแล้วในปี 2564 แนะนำซื้อ ราคาเป้าหมาย 175 บาท โดยคาดกำไรสุทธิไตรมาสแรก ปี 65 จะเติบโตทั้ง YoY และQoQ และประมาณการว่ากำไรปี 2565 และปี 2566 เมื่อเทียบกับ YoY จะเติบโต +113%/+39% ตามลำดับ โดยกำไรกลับไปสู่ระดับก่อนโควิดได้ในปี 66
BEM โดดเด่นจากรถไฟฟ้า ทางด่วนฟื้นตัว แนะนำซื้อ ราคาเป้าหมาย 10 บาท แนวโน้มไตรมาส 1 ปี 65 ฟื้นตัวต่อเนื่อง จากปริมาณการใช้ทางด่วน-รถไฟฟ้า คาดว่ารายได้ปี 65 โตดี 26%