พระ ณ สยามได้นำเสนอเรื่องราวของ "คุณดนัย จันทร์เจ้าฉาย" ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทดีซี คอนซัลแทนส์ แอนด์ มาร์เก็ตติ้ง คอมมูนิเคชั่นส์ จำกัด มาถึง 4 ตอนเต็มๆ กระทั่งมีเสียงกระซิบไล่หลัง พร้อมกับประเด็นคำถามที่ตามมาว่าทำไมถึงยังไม่จบซะที
ฉบับนี้คงเป็นภาคจบของเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นจากวงสนทนาแห่งธรรม โดยเฉพาะหลักแห่งแนวคิดในการเป็นองค์กรสีขาว หรือองค์กรแห่งคุณธรรม ที่นับวันสังคมไทยมีแต่จะแล้งเหือดแห้งยิ่งกว่าอากาศในเดือนเมษายนเสียอีก ซึ่งเขา ได้กล่าวแสดงข้อคิดเห็นต่อกรณีดังกล่าวว่า ยอมรับว่าสิ่งที่ตนเองได้ทำหรือดำเนินการ อาจจะสวนทางกันอยู่ แต่ตนมองว่าเป็นสิ่งที่ควรทำและไม่ควรย่อท้อ ถ้าเราไม่อยากจะเป็นอะไรที่ลอยไปตามน้ำ เป็นปลาก็ต้องว่ายทวนน้ำ นั่นคือต้องว่ายทวนกระแส อย่างกรณีภาคีเครือข่ายต่อต้านคอร์รัปชั่น เราต้องปลุกพลังของเยาวชนขึ้นมาในการต่อต้าน ผมมีรายการโทรทัศน์เป็นรายการทูตความดี แห่งประเทศไทย (D Ambassador) ทุก วันนี้ก็ยังทำอยู่ แล้วก็มีเป็นชมรมในโรง เรียน มีการทำเป็น D Passport หนังสือ เดินทางความดีให้เด็กทำความดีทุกชั้นปี แล้วสะสมคะแนนไว้ พอจบมาปั๊บองค์กร รับสมัครพนักงานไม่ได้ดูแค่เกรดอย่างเดียว เดี๋ยวนี้องค์กรจำนวนมากเลยจะขอดูหนังสือเดินทางความดีว่าเคยทำอะไรเพื่อผู้อื่น มีวินัยไหม เพราะเราไม่ต้องการเด็กเก่งอย่างเดียว เพราะถ้าเก่ง แล้วไม่ดีก็จะเป็นปัญหากับองค์กร แล้วเป็นปัญหาของสังคมด้วย
เมื่อถามต่อถึงประเด็นสิ่งที่คิดว่าอยากจะทำ แต่ยังไม่ได้ทำให้กับสังคมว่ามีเรื่องใดบ้าง "ประธานฯบริษัทดีซีฯ" ตอบเราว่า จริงๆ ได้ทำมาหมดแล้ว ถ้าถามว่ามีอะไรที่ยังไม่ได้ทำ เชื่อว่าทำแล้วแต่ไม่ได้ทำทั้งหมด "เพราะว่าเรามีกำลังเท่าที่เรามี แล้วเวลาทำอะไรเราก็ไม่ทำเกินกำลังตัวเอง ค่อยๆ ทำค่อยเป็นค่อยไป ทำแบบไม่เบียด เบียนตัวเรา ไม่เบียดเบียนคนอื่น ถามว่ามีอะไรที่อยากจะทำอีกไหม คำตอบคือผมเชื่อว่าผมทำหมดแล้วเพียงแต่ว่ามันยังไม่จบ ยังมีอะไรใหม่ๆ อีก ก็แล้วแต่ว่ามีโอกาส ตรงไหนก็เข้าไปทำ"
มีคนถามเยอะครับว่าจะบวชไหม จริงๆ แล้วอยากบวชไม่อยากทำงานแต่ พอไปถามครูบาอาจารย์ท่านก็ยังไม่ให้บวช ท่านบอกว่าอยู่ในสภาพอย่างนี้ดี แล้ว เป็นฆราวาสมันมีความคล่องตัว จะเดินทางไปไหนมาไหนทำได้ก็สะดวก เรียกว่ายังไม่มีครูบาอาจารย์ที่ไหนให้บวช ครับ ความจริงอยากจะเลิกทำงานอย่าง นี้ครับ แต่ถามว่าทำงานโอเคไหม ผมก็ยังสนุกกับมัน คือสนุกกับงานที่ทำอยู่ทุกวัน นอกจากนี้ในทุกๆ วันตอนเช้านอก จากจะมีการสมาทานศีลแล้ว เฉพาะวันอังคารกับวันพุธก็ยังมีการปฏิบัติธรรม โดยเราได้เปิดหอประชุมของเราเอง เรียก ว่าตอนกลางวันเป็นงานทางโลก มีการจัดสัมมนาแถลงข่าว ตอนกลางคืนเราก็เปิดให้มีการนั่งสมาธิปฏิบัติธรรม
ส่วนประเด็นเรื่องของพระเครื่องนั้น "คุณดนัย" บอกว่าได้มาเยอะมากแต่ไม่ได้แขวนสักองค์ แต่ถามว่าเชื่อมั้ย เขาบอกเชื่อแต่เชื่อว่าการที่ตนมีศีลแล้วเป็นคนพูดแล้วทำยังไงพระต้องคุ้มครอง พร้อมกันนั้นยังได้เล่าต่อว่าปกติที่บ้านจะมีห้องพระไว้กราบไหว้ สวดมนต์ นั่งสมาธิ เดินจงกรม เรียกว่าว่างช่วงไหนก็จะทำ "ผมนี่ทำตลอด พอเราจับหลักได้มันเหมือนกับเรากระโดดขี่จักรยาน มันขึ้นได้ตลอด อย่างนั่งคุยๆ กันอยู่แป๊บเดียวเรารู้ลมหายใจ เราปฏิบัติแล้ว สติมันตั้งมั่นขึ้นมาเอง"
เคยได้รับคำชมจากครูบาอาจารย์ว่าสติตั้งมั่นดี คือมันจะรู้อยู่เนืองๆ แล้วถามว่าสิ่งที่เกิดขึ้นคืออะไร สิ่งที่เกิดขึ้น นี้คือร่างกายเราหรือว่าชีวิตเรา มันจะเบามากมันจะเบาสบาย แล้วเราจะทำงานได้แบบคนสงสัยว่าเหมือนคุณดนัยไม่เคย นอน ตอนตี 2 ตี 3 ต้องส่งต้นฉบับหนังสือ พิมพ์หลายฉบับ แล้วยังมีแมกกาซีนออน ไลน์ที่ตนเองทำ แล้วยังมีงานอื่นๆ อีกเพียบ บางวันนอนแค่ 40 นาที แต่เป็นการหลับเหมือนปิดสวิตซ์ เราหลับลึก อันนี้คือสิ่งที่ได้จากท่านพุทธทาสสอน ครั้งแรก ท่านบอกว่าทำงานทุกชนิด ด้วยจิตว่าง เมื่อก่อนไม่เข้าใจแต่ตอน นี้เข้าใจแล้ว ทำงานโดยไม่มีตัวประธาน ไม่ว่าจะทานข้าวหรือทำงานอะไรต่างๆ พอมันไม่มีตัวเราพลังมันมหาศาลมาก
ตอนท้ายของการสัมภาษณ์เขายังได้กล่าวถึงกิจกรรมอื่นๆ ที่ได้ทำร่วมกับพนักงาน นอกเหนือจากการสมาทาน ศีลว่า ยังมีเรื่องของการจัดทริปไปอินเดีย หรือการปล่อยปลา "การจัดทริปไปอินเดียนั้นเนื่องจากไป 10 วันจึงต้อง สลับหมุนเวียนกันไป โดยจะให้เฉพาะพนักงานที่มีผลงานดี นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมพิเศษที่ทำบ่อยทุกอาทิตย์ นั่นคือการปล่อยปลาอาทิตย์ละ 1 ตัน (1,000 กก.) ส่วนใหญ่จะไปปล่อยที่วัดหอมเกร็ด พุทธมณฑลสาย 7 ริมแม่น้ำ นครชัยศรี บางทีก็ที่วัดกู้ จ.นนทบุรี"
ความจริงยังมีบางแง่บางประเด็นอื่นๆ อีกมากมายที่เราเชื่อว่าหลายคนอาจจะไม่เคยได้รู้ได้เห็นที่ไหนมาก่อน แต่สาระที่ได้นำมาถ่ายทอดตั้งแต่ตอนแรกยันฉบับสุดท้ายเชื่อว่าสิ่งต่างๆ เหล่านี้จะเป็นประโยชน์ต่อส่วนรวมและประเทศชาติไม่มากก็น้อย สำหรับเรื่องราวของผู้ชายคนนี้ ดนัย จันทร์เจ้าฉาย