Toggle navigation
วันเสาร์ ที่ 21 มิถุนายน 2568
หน้าแรก
ข่าวสาร
วิเคราะห์-บทความ-ต่างประเทศ
ประกัน
ยานยนต์
การเงิน-ธนาคาร
หุ้น-กองทุนรวม
อสังหาริมทรัพย์
พลังงาน-คมนาคม-โลจิสติกส์
อุตสาหกรรม-เออีซี-เอสเอมอี
ไอที
การศึกษา-กทม
การตลาด-ซีเอสอาร์
เกษตรยุคใหม่-ภูมิภาค
บันเทิง
ขายตรง
ประชาสัมพันธ์
PR NEWS -ข่าวประชาสัมพันธ์
ไลฟ์สไตล์
ท่องเที่ยว
แฟชั่นโซไซตี้-ดูดวง
ช๊อป-ชิม-ชิล
สุขภาพ-ความงาม
วิดีโอ-คลิปข่าว
E-Book
นสพ. สยามธุรกิจ
ติดต่อเรา
สามารถส่งข้อมูล ข่าวสาร ทางอีเมลล์ : siamturakijonlinenews@gmail.com และ สำหรับฝ่ายโฆษณา ทางอีเมลล์ : siamturakijadvertising@gmail.com
หน้าแรก
ขายตรง
แนวทางการกำจัดวัชพืชด้วยสารอินทรีย์ที่ถูกหลัก GAP
แนวทางการกำจัดวัชพืชด้วยสารอินทรีย์ที่ถูกหลัก GAP
วันอังคารที่ 02 กันยายน พ.ศ. 2557
Tweet
สถานการณ์การใช้สารเคมีทางการเกษตรของประเทศไทยมีแนวโน้มสูงขึ้นทุกปี โดยทางกรมวิชาการเกษตรได้กล่าวว่าแต่ละปีประเทศไทยมีการนำเข้าสารกำจัดวัชพืชเป็นจำนวนมาก โดยในปี 2554 มีปริมาณนำเข้ารวม 112,176.81 ตัน คิดเป็นมูลค่าสูงถึง 11,479.52 ล้านบาท จากการที่เกษตรกรใช้สารกำจัดวัชพืชอย่างต่อเนื่องมาเป็นเวลานานและมีแนวโน้มจะเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ส่งผลให้วัชพืชหลายชนิดดื้อต่อสารเคมี โดยเฉพาะวัชพืชในนาข้าวและวัชพืชเถาเลื้อยในไร่อ้อยในเขตพื้นที่ภาคกลางและภาคเหนือตอนล่าง ทำให้เกษตรกรต้องใช้สารเคมีเพิ่มมากขึ้น และต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น แต่ไม่มีประสิทธิภาพในการกำจัดวัชพืช
ซึ่งปัญหาวัชพืชดื้อสารเคมีเป็นภัยเงียบที่กำลังคุกคามในหลายประเทศทั่วโลก เนื่องจากอุณหภูมิที่สูงขึ้นจึงยิ่งเอื้อต่อการเจริญเติบโตของวัชพืชและขยายพันธุ์ได้รวดเร็วขึ้น ผลกระทบจากวัชพืชไม่เพียงรบกวนพืชของเกษตรกร แต่ยังเป็นแหล่งอาศัยของแมลงศัตรูพืชและแหล่งสะสมโรคพืชด้วย ขณะเดียวกันวัชพืชยังแย่งธาตุอาหารในดินกับพืชที่ปลูก ซึ่งจะทำให้กระทบต่อการให้ผลผลิต และได้ผลไม่คุ้มค่ากับการลงทุน ถือเป็นปัญหาสำคัญที่คุกคามเกษตรกรหนักขึ้น
นอกจากนี้ การใช้สารเคมีมากเกินความจำเป็น และไม่ถูกต้อง ล้วนทำให้เกิดผลกระทบหลายด้าน ทั้งด้านสุขภาพและสิ่งแวดล้อม อีกทั้งยังมีความเสียหายจากการส่งออกที่มีสาเหตุมาจากสารตกค้างในสินค้าทางการเกษตรประมาณ 800-900 ล้านบาทต่อปี ส่งผลทางลบต่อภาพลักษณ์ของประเทศในฐานะผู้ส่งออกสินค้าทางการเกษตรและอาหารรายใหญ่ของโลก
ถึงเวลาของเกษตรกรยุคใหม่ที่ควรใส่ใจปรับแก้ไข และมีการจัดการทางเกษตรที่ดีตามหลัก GAP (Good Agricultural Practice) ซึ่งเป็นระบบการจัดการกระบวนการผลิตทางการเกษตร โดยผ่านการตรวจสอบถึง 8 ปัจจัย เช่น แหล่งน้ำ พื้นที่ปลูก การใช้วัตถุอันตรายทางการเกษตร การเก็บรักษาและขนย้ายผลผลิตภายในแปลง การบันทึกข้อมูล การผลิตให้ปลอดจากศัตรูพืช การจัดกระบวนการผลิตเพื่อให้ได้ผลิตผลที่มีคุณภาพ และการเก็บเกี่ยวและการปฏิบัติหลังการเก็บเกี่ยว เพื่อให้ได้ผลิตผลที่ปลอดภัย ปราศจากศัตรูพืช และจุลินทรีย์ เป็นที่พึงพอใจของผู้บริโภคในประเทศไทย พร้อมกำจัดวัชพืชด้วยสารอินทรีย์อันเป็นการดูแลผลิตผลอย่างครบวงจรที่ดียิ่งขึ้น และเมื่อเกษตรกรปฏิบัติครบตามเกณฑ์ก็จะได้รับการรับรองจากกรมวิชาการเกษตรและได้รับสัญลักษณ์ “Q” ซึ่งปัจจุบันมีประมาณ 35,000 ราย
ทางธุรกิจเครือข่ายเอสเนเจอร์มีความภูมิใจนำเสนอผลิตภัณฑ์นวัตกรรมการเกษตรล่าสุดที่เป็นสารอินทรีย์ชนิดพิเศษ สกัดจากสนทะเลและสารสกัดนานาชนิดจากธรรมชาติที่ปราศจากสารเคมีที่เป็นอันตรายต่อร่างกายมนุษย์ 100 เปอร์เซ็นต์ ที่สามารถปราบวัชพืชและควบคุมวัชพืชโดยไม่ทำลายพืชประธาน ปลอดภัยต่อผู้ใช้และผู้บริโภค อันเป็นผลงานวิจัยที่ทำการทดลองมากกว่า 10 ปีที่ผ่านมา และพร้อมออกตลาดเพื่อเพิ่มคุณภาพชีวิตของเกษตรกรใน ต้นปี 2558
ดังนั้น จะเห็นได้ว่าธุรกิจเครือข่ายเอสเนเจอร์มีความตั้งใจสร้างสรรค์และนำผลิตภัณฑ์นวัตกรรมเด่นให้หุ้นส่วนธุรกิจ สมาชิกตลอดจนชาวเกษตรกร สามารถสร้างและจัดการผลิตผลทางการเกษตรได้อย่างปลอดภัย พร้อมมีความมั่นคงและมั่งคั่งอย่างยั่งยืน
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
The Associated Press
“Zhulian Gala Night 2025” ปรากฏการณ์ค่ำค...
...
“ซูเลียน” ส่งชานม “ที พลัส 3 in 1” เขย่า...
...
Happy MPM Business Trip @ จันทบุรี...
...
กิฟฟารีน แนะนำไอเท็มเด็ด “Giffarine Roya...
...
กิฟฟารีน แนะนำไอเท็มเด็ด “Giffarine Adva...
...
บริษัท สมาร์ท โกลด์ มีเดีย กรุ๊ป จำกัด SMART GOLD MEDIA GROUP CO.,LTD. ติดต่อสอบถาม โทร : 0893284192 , ID Line : @siamturakij และ ฝ่ายโฆษณา siamturakijadvertising@gmail.com
© 2013 สยามธุรกิจ
×
เว็บไซต์ “สยามธุรกิจ” ใช้คุกกี้เพื่อให้ท่านได้รับประสบการณ์การใช้งานที่ดียิ่งขึ้น อ่านนโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (Privacy Policy) และ นโยบายคุกกี้ (Cookie Policy)
กดยอมรับ