เผชิญหน้าศาล รธน.สุ่มเสี่ยง "ยุบสภา"

วันเสาร์ที่ 05 ตุลาคม พ.ศ. 2556

เผชิญหน้าศาล รธน.สุ่มเสี่ยง


วิเคราะห์การเมือง : by นพคุณ ศิลาเณร

พรรคเพื่อไทยเริ่มปวดหัวตึ้บๆ เมื่อพรรคประชาธิปัตย์จับมือวุฒิสมาชิกสรรหา ลากเกมการเมืองให้ไปเผชิญหน้ากับศาลรัฐธรรมนูญ เพราะนั่นเป็นสถานการณ์สุ่มเสี่ยงและคาดเดาได้ยากยิ่ง

ศาลรัฐธรรมนูญเป็นกระบวนการยุติธรรมเพื่อขจัดปัญหาความขัดแย้งทาง การเมือง มีตุลาการ 9 คนเป็นองค์คณะวินิจฉัยใช้เสียงข้างมากชี้ขาดผลการตัดสินถือเป็นที่สุด ไม่มีอุทธรณ์ ไม่มีฎีกา

มีการเปรียบเปรยและประชดประชันกันว่า ศาลรัฐธรรมนูญเป็น "ดุลอำนาจใหม่" ทางการเมือง เริ่มกำเนิดขึ้นครั้งแรกตามรัฐธรรมนูญ 2540 แล้วปรับปรุงอำนาจให้กระชับยิ่งขึ้นในรัฐธรรมนูญ 2550 โดย "ที่มา" ไม่ได้ยึดโยงกับประชาชน แต่มาจากดุลอำนาจชนชั้นสูงเลือกสรรบุคคลมาทำหน้าที่ "ตุลาการ" ไว้เป็นดุลถ่วงพรรคการเมือง "นอกคอก" จากแนวทางอนุรักษ์ นิยมสุดขั้ว

ผลงานตัดสินปัญหาทางการเมืองที่ผ่านมา กลุ่มอำนาจ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นฝ่ายเสียเปรียบตลอด ถูกยุบพรรค 2 ครั้ง นายกรัฐมนตรีถูกปลดจากตำแหน่ง 1 คน และล่าสุดการแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 291 ถูกสกัดไม่ให้ ลงมติวาระ 3 และค้างเติ่งในสภาถึงปัจจุบัน

เมื่อศาลรัฐธรรมนูญถูกผลักดันให้มาเป็น "ผู้เล่นเกมการเมือง" อีกครั้ง ดังนั้น ปัญหาการแก้ไขรัฐธรรมนูญว่าด้วยที่มาของวุฒิสมาชิกจึงเป็นชะตากรรมของพรรคเพื่อไทยต้องผจญกับ "อารมณ์" ตีความรัฐธรรมนูญ 2550 ตามตัวอักษรของ ตุลาการเสียงข้างมากว่า ผันแปรไปตามการ เลือกข้างทางการเมือง

อารมณ์ของมนุษย์อำนาจจึงยากแท้หยั่งถึง และ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ถึงกับเครียด หวาดหวั่น ย่อมสมควรมีอาการ

+ เกมอำนาจ

ปัญหาญัตติแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2550 ว่าด้วยวุฒิสมาชิกมาจากการเลือกตั้งจำนวน 200 คนต้องผจญเกมการเมืองจากพรรคประชาธิปัตย์และกลุ่มวุฒิสรรหาถึง 2 ด่าน โหด

ด่านแรก พล.อ.สมเจตน์ บุญถนอม กับพวก และนายวิรัตน์ กัลยาศิริ ส.ส.สงขลา พรรคประชาธิปัตย์ยื่นคำร้องให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญเกี่ยวกับที่มาของวุฒิสมาชิกขัดรัฐธรรมนูญมาตรา 68 วรรคหนึ่ง

เมื่อ 25 กันยายน ที่ผ่านมา ศาลรัฐธรรมนูญรับคำร้องไว้พิจารณาด้วยมติ 5 ต่อ 2 ขั้นตอนต่อไปเป็นการไต่สวนเพื่อวินิจฉัยปัญหา คาดว่าภายในตุลาคมนี้คงรู้ผลตัดสิน

รัฐธรรมนูญมาตรา 68 วรรคหนึ่ง กำหนดว่า "บุคคลจะใช้สิทธิและเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตามรัฐธรรมนูญนี้ หรือเพื่อ ให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองของประเทศ โดยวิธีการซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติ ไว้ในรัฐธรรมนูญนี้มิได้"

การฝ่าฝืนมาตรา 68 มีโทษยุบพรรค การเมือง รวมทั้งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งหัวหน้าพรรคและกรรมการบริหารพรรค 5 ปี

นี่คือการเล่นแรง แล้วย้อนกลับมาเล่นงานยุบพรรคการเมืองอีกครั้ง กลุ่มอำนาจฝ่าย พ.ต.ท.ทักษิณ ย่อมหวั่นวิตกเป็นธรรมดา

เพราะอดีตเคยโดนมาแล้วถึง 2 ครั้ง แล้วพรรคเพื่อไทยต้องตกอยู่ในสถานการณ์ ดุจเดียวกันอีก ด้วยน้ำมือเกมจากพรรคประชาธิปัตย์กล่าวหาตามเดิม

ด่านสองเป็นการต่อยอดเกมการเมือง โดยมีเป้าหมายยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นการ "ขัดหรือแย้ง" กับรัฐธรรมนูญ

ด่านนี้จะเปิดฉากขึ้นภายหลังการลงมติวาระ 3 หากการแก้ไขรัฐธรรมนูญผ่านรัฐสภาเรียบร้อย เกมโหดย่อมตามมาติดๆ โดยนายไพบูลย์ นิติตะวัน วุฒิสรรหา ขู่ว่า จะร่วมกับพรรคประชาธิปัตย์ ใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญมาตรา 154 (1) ยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความการแก้ไขรัฐธรรมนูญขัดหรือแย้งกับมาตรา 291 วรรคสอง เพราะ ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข

ปัญหาการเมืองทั้งหมดทั้งปวงนี้ กลุ่มฝ่ายแค้นอย่างพรรคประชาธิปัตย์และวุฒิสรรหา ล้วนใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญมาเล่นเกมเพื่อบำบัดอารมณ์อิจฉาทาง การเมือง การยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ ให้เล่นงานพรรคเพื่อไทยมีเป้าหมายล้มรัฐบาล จึงเท่ากับผลักดันให้ศาลรัฐธรรมนูญ มาเป็น "ผู้เล่นเกม" ถล่มรัฐบาลอีกทอดหนึ่งด้วย

เพราะกลุ่มอิจฉาทางการเมืองเหล่านี้ มุ่งหวังว่าจะบรรลุความอยาก ตามที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วในการกำจัดพรรคไทยรักไทย พรรคพลังประชาชน และปลดนายสมัคร สุนทรเวช ออกจาก นายกรัฐมนตรี

+ มึงผิด กูถูก-สังคมแบ่งพวก

พฤติกรรมทางการเมืองแบบ "มึงผิด กูถูก" คงย้อนกลับมาอีกครั้ง โดยมีสำนึก ตั้งต้นอยู่ที่ อำนาจฝ่าย พ.ต.ท.ทักษิณ ผิด และฝ่ายแค้นอย่างพรรคประชาธิปัตย์ถูกอยู่ ร่ำไป

คงมิลืมอำนาจฝ่าย พ.ต.ท.ทักษิณ ถูก ยุบพรรคมา 2 ครั้ง แต่พรรคประชาธิปัตย์ "รอด" ข้อกล่าวหายุบพรรคมาตลอด ทั้งๆ ที่เทียบเคียงความผิดแล้วแทบไม่แตกต่างกัน นั่นเป็นเพราะอารมณ์ "แบ่งพวก" อยู่เหนือความเป็นจริงในสังคมการเมือง

ฝ่ายทักษิณจึงต้องผิด และพวกประชาธิปัตย์ย่อมเป็นฝ่ายถูกเสมอ

กล่าวเฉพาะการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ถ้าเปรียบเทียบกับยุคพรรคประชาธิปัตย์เป็นหัวหอกกับพรรคเพื่อไทยมีส่วนร่วมในการดำเนินการ ย่อมปรากฏความจริงตามพฤติกรรม "มึงผิด กูถูก" ได้ชัดเจน

พรรคประชาธิปัตย์เคยแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาแล้วครั้งหนึ่งเมื่อ 3 มีนาคม 2554 ในหมวดการเลือกตั้ง ส.ส.ให้เป็นเขตเดียวเบอร์เดียวกับระบบบัญชีรายชื่อ

การแก้ไขครั้งนั้นเรียบร้อยไร้ปัญหา ให้ศาลรัฐธรรมนูญมาเป็นส่วนหนึ่งของผู้เล่น เกมการเมืองเลย

แต่การแก้ไขรัฐธรรมนูญในยุคพรรคเพื่อไทยกลับต้องผจญเกม "ล้มการปกครอง" เพราะฝ่าฝืนมาตรา 68 ถ้าใช้ข้อหามาตรา 68 มาตั้งต้นแล้ว ข้อสรุปชัดเจนคือ รัฐธรรมนูญ 2550 ต้องแก้ไขไม่ได้เลย

เพราะข้อความมาตรา 68 ที่ระบุว่า "...อำนาจในการปกครองของประเทศโดยวิธีการซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญนี้มิได้" ถูกพรรคประชาธิปัตย์นำมาเล่นงานฝ่ายแก้ไขรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งวุฒิสมาชิก เนื่องจากรัฐธรรมนูญให้มีทั้งสรรหาและเลือกตั้งเพื่อถ่วงดุลอำนาจกัน

นี่เท่ากับเป็นการฝ่าฝืนในความหมาย ตัวอักษรมาตรา 68 ว่า "...มิได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ..."

ถ้าเปรียบเทียบกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญของพรรคประชาธิปัตย์อย่าเถรตรงตามตัวอักษรแล้ว ย่อมเข้าข่ายฝ่าฝืนมาตรา 68 ด้วยเช่นกัน

ดังนั้น ข้อความในมาตรา 68 ที่ระบุว่า "... มิได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ..." จึงเป็นช่องโหว่ให้เกิดอารมณ์แบ่งพวกอำนาจในสังคม "งัด" มาตรการทำลายฝ่ายตรงข้ามได้อย่างน่ากลัว

มันเป็นความน่ากลัวที่ไม่แตกต่างจาก การตีความหมาย "และ" มีค่าเท่ากับคำว่า "หรือ" เพื่อหลีกหนีการตรวจสอบของอัยการสูงสุดนั่นเอง

และการตีความเช่นนั้น ได้กลายเป็นปัญหาใหญ่หลวงในเกมการเมือง เนื่อง จากเปิดช่องทางให้ "พวก" ยื่นคำร้องเข้าสู่ศาลรัฐธรรมนูญเพื่อเล่นงานฝ่ายต่างพวกได้อย่างมันอารมณ์

การเล่นงานการแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อกำหนดให้วุฒิสมาชิกมาจากการเลือกตั้ง และศาลรัฐธรรมนูญรับคำร้องไว้พิจารณา ย่อมเป็นไปตามแนวทางอำนาจเกมมิแตกต่างกัน

+ เผชิญหน้า-แก้เกมอำนาจ

เมื่อศาลรัฐธรรมนูญรับคำร้องการแก้รัฐธรรมนูญว่าด้วยที่มาวุฒิสมาชิก นั่นเท่ากับเกิดการเผชิญหน้าทางอำนาจกันขึ้น

ฝ่ายแก้รัฐธรรมนูญที่พรรคเพื่อไทยเป็นส่วนร่วมสำคัญต้องหาหนทางหนีโทษ "ยุบพรรค" ขณะเดียวกันมวลชนสนับสนุนรัฐบาลล้วนก่อหวอดกดดันการทำหน้าที่ของศาลรัฐธรรมนูญอย่างระทึกยิ่ง

บทเรียนจากถูกยุบพรรคถึง 2 ครั้ง และนายกรัฐมนตรีถูกปลด 1 คน ย่อมมีบทสรุปให้พลังมวลชนกร้าวแกร่งขึ้น แรงกดดันจึงดุเดือดเท่าทวี

ศาลรัฐธรรมนูญจะตัดสินวันไหนยังไม่รู้ แต่สิ่งที่ไม่รู้นั้นมีความหมายเท่ากับ "ช่วงอ่อนไหว" และเป็นช่วงอ่อนไหวที่เกิดขึ้นในสถานการณ์ปลายกันยายนถึงต้นตุลาคม ยิ่งไม่ธรรมดา

เพราะรอยต่อของกันยายนกับต้นตุลาคม เป็นช่วงการ "หยุดนิ่ง" ของระบบราชการที่เกิดจากการผลัดเปลี่ยนโยกย้ายตำแหน่งหน้าที่

ยิ่งกันยายนสู่ตุลาคมปีนี้ ในวงการโหราศาสตร์เป็น "วิกฤติ" จากดาวเสาร์เข้าแทรก เกิดคำนายว่า ดวงเมืองจะแผ่ว ไร้ความเข้มแข็ง อนาคตรัฐบาลยิ่งลักษณ์อ่อนไหวใกล้เปลี่ยนแปลง

แต่เอาเถิด...ถ้าพรรคเพื่อไทยถูกยุบกันจริงๆ แล้ว นั่นไม่ได้หมายความว่าจะทำลายอำนาจฝ่ายทักษิณลงได้ เพราะผลที่ ตามมาคือ กรรมการบริหารถูกเว้นวรรคการเมือง 5 ปี แต่ "ยิ่งลักษณ์" ยังอยู่ในอำนาจการเมือง เพราะไม่ได้เป็นกรรมการบริหารพรรค

แล้วพรรคใหม่ต้องตั้งมาแทนที่ "ยิ่งลักษณ์" ยังมีโอกาสเป็นนายกรัฐมนตรีได้อีก ตั้งรัฐบาลใหม่ได้อีก ไม่กระเทือนอำนาจใด เพียงแค่รำคาญเท่านั้น

อย่าลืมว่า ญัตติแก้รัฐธรรมนูญมาตรา 291 ยังค้างเติ่งในสภา ถ้าเกมแรงกันแล้ว โอกาสเผชิญหน้าแตกหักอาจเกิดขึ้น ด้วยการเสนอให้ลงมติวาระ 3 ย่อมเป็นไปได้อยู่ไม่น้อย

ขณะเดียวกัน เมื่อป่วนกันมากมวลชน กดดันต้านศาลรัฐธรรมนูญที่กระโดดมาสู่ "ผู้เล่นเกมอำนาจ" เป็นตัวหลักแล้ว ล้วนเกิดวิกฤติสังคมย่อยๆ ขึ้นนั่นเอง

ต้องจำไว้ว่า อำนาจยุบสภายังอยู่ในมือ "ยิ่งลักษณ์" และพร้อมๆ งัดออกมาเล่นได้ทุกเมื่อเพื่อแก้ไขสถานการณ์สุ่มเสี่ยง แล้ว ให้ประชาชนตัดสินการแก้ไขรัฐธรรมนูญ

พรรคประชาธิปัตย์คงไม่พร้อม และไม่อยากเล่นเกมเลือกตั้งใหม่ เพราะมองไม่เห็นโอกาสชนะเลย


บริษัท สมาร์ท โกลด์ มีเดีย กรุ๊ป จำกัด SMART GOLD MEDIA GROUP CO.,LTD. ติดต่อสอบถาม โทร : 0893284192 , ID Line : @siamturakij และ ฝ่ายโฆษณา siamturakijadvertising@gmail.com
© 2013 สยามธุรกิจ