แนวรบตุลาการ รธน.ไม่ระคายผิวรัฐบาลปู

วันพุธที่ 09 ตุลาคม พ.ศ. 2556

แนวรบตุลาการ รธน.ไม่ระคายผิวรัฐบาลปู


วิเคราะห์การเมือง : by นพคุณ ศิลาเณร

แม้การแก้ไขรัฐธรรมนูญให้วุฒิสภามาจากการเลือกตั้งผ่านการลงมติวาระ 3 ด้วยมือสนับสนุน 358 เสียงไปแล้ว แต่ความยุ่งเหยิง ทางการเมืองยังไม่ยุติและการต่อสู้ยังไม่เลิกรา

โจทย์ใหญ่ขณะนี้เป็นการผสมปนเประหว่างขั้นตอนกฎหมายกับการต่อสู้ในเกม การเมืองที่ต้องงัดทีเด็ดออกมาห้ำหั่น ชนิด เอาเป็นเอาตายกันไปข้างหนึ่ง

แบบว่า "อารมณ์อำนาจ" อันมากด้วย เครื่องมือทำลาย แต่ไร้อุดมการณ์ยึดถือ ช่างโหดเหี้ยมเกินบรรยาย

ฝ่ายรัฐบาลและพรรคเพื่อไทยยึดขั้นตอนกฎหมายเป็นเกราะกำบังแรงต้าน โดยให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐ มนตรี และรมว.กระทรวงกลาโหม นำร่างแก้ไขรัฐ ธรรมนูญขึ้นทูลเกล้าฯ ลงพระปรมาภิไธยภาย ใน 20 วันตามรัฐธรรมนูญมาตรา 291 (7) ประกอบมาตรา 150 กำหนดให้ปฏิบัติ

ส่วนพวกต่อต้านยังเล่นเกมไม่เลิก กลุ่ม นี้เป็นพรรคประชาธิปัตย์กับวุฒิสรรหา (จำ นวนหนึ่ง) ผนึกกำลังยื่นคำร้องต่อประธานรัฐสภาให้ส่งถึงศาลรัฐธรรมนูญว่า ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญขัดรัฐธรรมนูญมาตรา 154 (1)

ทั้งๆ ที่เมื่อ 25 กันยายนที่ผ่านมา ศาลรัฐธรรมนูญมีมติ 5 ต่อ 2 รับคำร้องตามมาตรา 68 ในข้อกล่าวหา "ล้มการปกครอง" แล้ว แต่ไม่หนำใจ ฝ่ายคัดค้านจึงงัดมาตรา 154 (1) มาเทียบเคียงลดทอนร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญให้มีสภาพเท่ากับ "ร่าง พ.ร.บ." ทั่วไป แล้วโหมประโคมว่า ขัดรัฐธรรมนูญ 2550

รวมความแล้ว ขณะนี้ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ ผจญข้อกล่าวหา 2 เด้ง คือ "ล้มการปกครองและขัดรัฐธรรมนูญ" โดยข้อกล่าวหานี้พัวพันกับ "เงื่อนเวลา" ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญกับรัฐบาลต้องช่วงชิงความได้เปรียบในเกมการเมืองของกันและกัน

ท่ามกลางเกมพันตูกัน สะท้อนถึงเครือ ข่ายดุลอำนาจเก่าพยายามปกปักอำนาจ จากการรุกบดขยี้ของดุลอำนาจใหม่ ดังนั้น การแก้ไขรัฐธรรมนูญจึงมีสาระของ "เกม" มากกว่าปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหมาย

ด้วยเหตุนี้ ความระทึกย่อมเกิดขึ้นใน "สุญญากาศอารมณ์" และต้องตั้งสติจำแนก "แก่นกับกระพี้" ให้ชัดเจน จึงจะเข้าใจการต่อสู้ของเกมอำนาจ

เงื่อนเวลาในเกมอำนาจอยู่ที่การวัดขนาดใจของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ว่า กล้าหรือกลัวกับอำนาจศาลรัฐธรรมนูญ

แต่มาถึงขั้นนี้แล้ว ประเมินได้ว่า นายกรัฐมนตรีต้องเดินหน้านำร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ ขึ้นทูลเกล้าฯ โดยไม่ใส่ใจกับเสียงร้องทักของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ แกนนำพรรค ประชาธิปัตย์ รวมทั้งกลุ่มวุฒิสรรหา ซึ่งต้องการให้ชะลอไว้ก่อนจนกว่าศาลรัฐ- ธรรมนูญจะตัดสินข้อกล่าวหาเป็นที่สุด

เมื่อนายกรัฐมนตรีกล้าเดินหน้า นายคำนูณ สิทธิสมาน วุฒิสรรหา ประเมินว่า หากศาลรัฐธรรมนูญดำเนินกระบวนการพิจารณาความผิดตามมาตรา 68 แล้ว ขั้นตอนทางกฎหมายจะเข้ามาตรา 151 ซึ่ง กำหนดให้พระมหากษัตริย์มีอำนาจยับยั้งได้ 90 วัน

ความยุ่งเหยิงอยู่ที่ ข้อกล่าวหายังอยู่ ในศาลรัฐธรรมนูญ ขณะที่ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญยังไม่ถูกลงพระปรมาภิไธยแล้ว ย่อมกลายเป็นเกมต่อสู้ทางการเมืองระทึกยิ่ง

ในประเด็นนี้ รศ.ดร.วรเจตน์ ภาคีรัตน์ นักกฎหมายจากกลุ่มนิติราษฎร์ อาจารย์ด้านกฎหมายมหาชนมีความเห็นว่า ถ้ามีการนำขึ้นทูลเกล้าฯ ไปแล้ว ก็ไม่แน่ใจว่าศาลรัฐธรรมนูญยังจะมีคำวินิจฉัยอะไรออก มาอีกหรือไม่ เพราะขั้นตอนมันจะผ่าน นายกรัฐมนตรีไปแล้ว ไปเข้าเขตที่เป็นเรื่องพระราชอำนาจตามรัฐธรรมนูญของประมุขของรัฐไป

"ถ้าเกิดวินิจฉัยออกมาก่อนนำขึ้นทูล เกล้าฯ ตอนนี้ก็จะเป็นประเด็นแล้วว่า ถ้าคำวินิจฉัยออกมาในทางที่เป็นคุณกับฝ่ายที่คัดค้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ฝ่ายคัดค้าน ก็จะหยิบเอาคำวินิจฉัยนี้ มาบอกว่านายกฯ นำขึ้นทูลเกล้าไม่ได้ เพราะศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยแล้วว่าขัดรัฐธรรมนูญ แต่ก็จะเป็นประเด็นว่าคำวินิจฉัยนี้จะผูกพันนายกรัฐมนตรีไหม ผูกพันรัฐสภาหรือไม่ ผมคิด ว่าถ้าออกมาแบบนี้จริง ก็อาจมีประเด็นที่ รัฐสภาปฏิเสธที่จะผูกพันตามคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ"

รศ.ดร.วรเจตน์ กล่าวว่า ความจริงใน รัฐธรรมนูญมีการเขียนไว้เหมือนกันกรณีศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยแล้ว ว่าคำวินิจฉัย ของศาลรัฐธรรมนูญให้เป็นเด็ดขาด และมี ผลผูกพันองค์กรของรัฐทุกองค์กร ก็จะมีคน หยิบบทบัญญัติแบบนี้มาอ้างเป็นสรณะว่า พอศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยแล้วว่าการแก้ไข เพิ่มเติมรัฐธรรมนูญครั้งนี้ขัดรัฐธรรมนูญ ก็จะนำขึ้นทูลเกล้าฯ ไม่ได้ ถ้ายังไม่มีการ นำขึ้นทูลเกล้าฯ ก็ต้องมีการระงับเอาไว้

"ประเด็นที่อยากให้คิดกันคือ ประเด็นในทางกฎหมายจะเป็นอย่างไร แน่นอน ก็จะมีคนอ้างว่า ทุกคนต้องเคารพคำวินิจฉัย ของศาลรัฐธรรมนูญ แต่ผมมีความเห็นว่า การเคารพคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ไม่ได้เป็นการเคารพแบบไม่มีเงื่อนไขใดๆ ทั้งสิ้น หมายความว่า ศาลตัดสินอะไรมาทุกอย่างต้องเคารพและผูกพันทั้งหมด เคารพ แบบหูหนวกตาบอด แบบไม่ต้องใช้สติปัญญาใดๆ ทั้งสิ้น"

อาจารย์สอนกฎหมายมหาชนผู้นี้ ระบุว่า ต้องไม่ลืมว่าคำวินิจฉัยอันนี้เป็นคำ วินิจฉัยในคดีรัฐธรรมนูญ ศาลรัฐธรรมนูญ เองเป็นเพียงองค์กรหนึ่งในทางรัฐธรรมนูญ ที่มีสถานะเสมอกับคณะรัฐมนตรี สภาผู้แทนราษฎร วุฒิสภา ไม่ได้มีสถานะเหนือกว่า เพราะฉะนั้นเวลาที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยออกมาแล้ว แม้ว่าโดยหลัก องค์กรของรัฐทุกองค์กรจะต้องผูกพันตาม คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญก็จริงอยู่ แต่ไม่ได้หมายถึงว่าผูกพันโดยไม่มีเงื่อนไข

ถึงที่สุดแล้ว ปัญหายุ่งเหยิงทั้งหมดนั้น อยู่ที่การช่วงชิงเวลาระหว่างนายกรัฐมนตรีกับศาลรัฐธรรมนูญ และเกมการ เมืองเกมนี้ฝ่ายพรรคประชาธิปัตย์เริ่มโหม โรงให้ชะลอการทูลเกล้าฯ

ในความอยากของพรรคประชาธิปัตย์ และกลุ่มวุฒิสรรหาแล้ว มองได้ทะลุแน่ ชัดว่า ต้องการให้ศาลรัฐธรรมนูญเดินเกม ตัดสินให้แล้วเสร็จ เพื่อจะได้เชื่อมโยงเกม ไปสู่เป้าหมายของนายคำนูณคาดการณ์ไว้คือ เข้าสู่ขั้นตอนมาตรา 151

นี่เป็นความหวังเดียวของฝ่ายคัดค้าน การแก้ไขรัฐธรรมนูญ และต่อต้านรัฐบาลต้องการให้เกิดขึ้น โดยฝากอนาคตเกมการ เมืองไว้ที่ศาลรัฐธรรมนูญให้ออกมาพิทักษ์รัฐธรรมนูญ 2550 ที่เป็นผลผลิตอำนาจของกลุ่มยึดอำนาจเมื่อ 19 กันยายน 2549 ให้อยู่ยงคงกระพัน

แนวรบศาลรัฐธรรมนูญจึงอยู่ในสถานะ ถูกท้าทายของพรรคเพื่อไทยและรัฐบาลอย่างสำคัญ และเป็นปรากฏการณ์ทางอำนาจที่ไม่มีฝ่ายใดยอมกันได้

ความระทึกในเงื่อนแห่งเวลาจึงเป็นสุญญากาศให้เกมอำนาจต่อสู้กันอย่างหวาดเสียวยิ่ง


บริษัท สมาร์ท โกลด์ มีเดีย กรุ๊ป จำกัด SMART GOLD MEDIA GROUP CO.,LTD. ติดต่อสอบถาม โทร : 0893284192 , ID Line : @siamturakij และ ฝ่ายโฆษณา siamturakijadvertising@gmail.com
© 2013 สยามธุรกิจ