อายพม่า?

วันเสาร์ที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2556

อายพม่า?


สะบัดร้อนสะบัดหนาว : ณรงค์ ปานนอก

ไม่กี่วันก่อน ผมได้แสดงความเห็นเกี่ยวกับความขัดแย้งทางการเมืองในกัมพูชา ที่จบลงไปด้วยพันธะสัญญาของฝ่ายรัฐบาลกับฝ่ายค้านร่วมแสดง "ความต่าง" ในรูปแบบ สันติวิธี และใส่ใจต่อความยุติธรรมกันมากขึ้น อันเป็นหนทางที่เห็นได้ว่ากัมพูชามีพัฒนาการทางการเมืองที่ดีกว่าเมืองไทย และเคยมีประสบการณ์ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์เดียวกันอย่าง โหดเหี้ยมเป็นล้านศพมาแล้วในอดีต

ขณะที่บ้านเรายังก้าวสู่โหมดขัดแย้งรุนแรง หาทางบรรเทายังไม่ได้ ทั้งๆ ที่ความ เจริญทางวัตถุได้ก้าวข้ามการเมืองไปไกลโขแล้ว แต่สังคมการเมืองก็ยังไม่รู้สึกว่า เป็น ตัวการถ่วงความเจริญที่สำคัญ

กัมพูชาและลาวจึงมีศักยภาพทางการเมืองที่มั่นคงกว่าไทยตามฐานานุรูปของแต่ละประเทศ

ปรากฏว่า เมียนมาร์ หรือประเทศพม่าเดิม ที่เราคิดว่ายังยึดอยู่กับเผด็จการทหารไปอีกนาน กลับตาลปัตรแบบ 360 องศา เลิกปฏิวัติในแบบสั่งรถถังยกกำลังทหารออกมายึดอำนาจเหมือนบ้านเรา แต่ประกาศว่าจะพลิกแผ่นดินเมียนมาร์ให้เป็น ประชาธิปไตยอย่างรวดเร็ว พร้อมสร้างกติกาใหม่ดึงต่างชาติเข้าไปร่วมพัฒนาที่นั่นให้ เป็นมาตรฐานมากขึ้น

สัญญาณที่ส่งออกไปทั่วโลกคือ การปล่อยนางอองซาน ซูจี "หญิงเหล็ก" นักต่อสู้ด้วยวิธีอหิงสา นานเกือบ 20 ปีที่พิชิตความแข็งกร้าวของกองทัพเมียนมาร์ได้สำเร็จ และต่างร่วมมือกันประคับประคองประเทศให้ทั่วโลกไว้เนื้อเชื่อใจ และมั่นใจว่า เมียนมาร์เปิดประเทศจริงๆ แล้ว

ความจริงถ้าเราย้อนรอยไปดูการเมืองในอดีตของพม่ายุคหลังได้รับอิสรภาพจาก อังกฤษ พม่าเคยปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตยที่มียุทธศาสตร์ทางการเมืองเหนือ กว่าไทยหลายขุม ถึงขนาดองค์การสหประชาชาติยอมรับนายอู ถั่น เป็นเลขาธิการมาแล้วยุคหนึ่ง

ไทยเสียอีกที่ยังไม่เคยได้สัมผัสกับตำแหน่งที่ทรงคุณค่าในองค์การใหญ่ของโลก นี้มาเลย

แค่ระดับผู้จัดการการค้าระหว่างประเทศที่เรียกว่า อังแท็ด ยังต้องถูกแบ่งปันให้ชาติอื่นไปนั่งเป็นผู้จัดการร่วมฝ่ายละครึ่งเทอมด้วยซ้ำ

เมื่อปลายเดือนกันยายนที่ผ่านมาหมาดๆ รัฐมนตรีต่างประเทศเมียนมาร์เดินทาง ไปประกาศที่สหรัฐอเมริกา เชิญชวนให้นักลงทุนชาวสหรัฐฯ รีบเดินทางไปเมียนมาร์ให้ เร็วๆ หน่อย เพราะที่นั่นมีทรัพยากรธรรมชาติแร่ธาตุสมบูรณ์พร้อมที่จะผลิตอะไรขาย อะไรก็ได้ตามที่นักลงทุนต้องการ โดยเมียนมาร์ได้กำหนดกติการองรับให้เกิดความสะดวก ต่อนักลงทุนต่างชาติเต็มที่

อย่าว่าแต่สหรัฐฯ เลย นักธุรกิจจากทั่วโลกก็ "วิ่งหน้าตั้ง" รีบไปช่วงชิงโอกาสที่เมียนมาร์เปิดให้

เปรียบเทียบการเมืองไทยกับเมียนมาร์แล้วเห็นได้ชัดว่า บ้านเรามีแต่ "ทรงกับทรุด" เพราะความขัดแย้งซึมลึกเขากระดูก เล่นการเมืองแบบสุดโต่งรักใครเกลียดใคร ก็แสดงอาการโกรธเกลียดเหมือนคนต่างเผ่า และร่ายความแค้นใส่กันคล้ายคนขาดสติ...ในขณะที่การเมืองเมียนมาร์มีแต่รุดหน้าแบบก้าวกระโดด จนแทบไม่เห็นร่องรอย เผด็จการที่เพิ่งผ่านไปหยกๆ

เมื่อเจาะลึกลงไปอีกนิด จะเห็นกุศโลบายที่ชาญฉลาดในการหลบหลีกมหาอำนาจ อย่างน่าสนใจ เนื่องเพราะระหว่างพม่าปิดประเทศอยู่นั้น พม่าได้พึ่งพาสาธารณรัฐ ประชาชนจีนอย่างเต็มกำลัง ทำให้จีนแผ่อิทธิพลเข้าไปครอบคลุมทั้งการเมืองและเศรษฐกิจในพม่าอย่างเหนียวแน่น ถ้าใครเดินทางไปสัมผัสชายแดนพม่า-จีนจะเห็นว่า จีนได้ขยายธุรกิจเข้าพม่าอย่างกว้างขวางและแทรกแซงธุรกิจชายแดนรุกเข้าไปในพม่า อย่างฝังราก

การเปลี่ยนยุทธศาสตร์การเมืองระหว่างประเทศให้ทุกชาติทั่วโลกเข้าไปลงทุน ค้าขายแบบ "ไม่อั้น" จึงเสมือนเป็นการดึงศักยภาพของชาติอื่นๆ เข้าไปคานอำนาจทางธุรกิจและเป็นพลังต่อรองทางการเมืองโดยไม่พึ่งพามหาอำนาจเจ้าใดเจ้าหนึ่งอย่างผูกขาด ซึ่งอาจเป็นอันตรายในภายภาคหน้าได้

การเปิดประเทศของเมียนมาร์ ทำให้ภาคเอกชนไทยได้อานิสงส์ในการทำการค้า กับเพื่อนบ้านได้มหาศาลไม่เป็นรองใคร

แต่มองในมุมพัฒนาการทางการเมืองแล้ว ไทยก็ยังต่ำต้อยด้อยค่า ขณะที่เมียนมาร์มีแต่รุดหน้า ก้าวกระโดดในอัตราส่วนที่ไม่อาจเปรียบกันได้

เมื่อหันมองไปรอบตัวบนแผ่นดินแหลมทองผืนนี้แล้ว น่าอนาถกับบ้านเราเสียจริง

เราน่าจะ "อายพม่า" บ้าง และสำนึกพิจารณาตัวเองให้ดีว่า เรากำลังรั้งท้าย แพ้เพื่อนบ้าน...ชาติอื่นอดทนเหมือนเต่าตั้งใจคลาน แต่เมืองไทย "หนุกหนาน" เยี่ยงกระต่ายที่ไร้เดียงสาจริงหรือไม่?


บริษัท สมาร์ท โกลด์ มีเดีย กรุ๊ป จำกัด SMART GOLD MEDIA GROUP CO.,LTD. ติดต่อสอบถาม โทร : 0893284192 , ID Line : @siamturakij และ ฝ่ายโฆษณา siamturakijadvertising@gmail.com
© 2013 สยามธุรกิจ