สะบัดร้อนสะบัดหนาว : ณรงค์ ปานนอก

วลีข้างต้น เคยเป็นหัวข้อสัมมนามาแล้วเมื่อวันที่ 27 มีนาคมปีนี้ หรือเมื่อ 6 เดือนที่ผ่านมา ซึ่งจัดโดยชมรมคอลัมนิสต์ นักจัดรายการวิทยุและโทรทัศน์ไทย เป็นที่ฮือฮาในวงการพลังงานอยู่นานหลายวัน

วันนี้กระทรวงพลังงานเปลี่ยนหน้ารัฐมนตรีจาก คุณอารักษ์ ชลธานนท์ เป็นคุณพงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล แล้ว นโยบายก็เปลี่ยนไปบ้าง โดยเฉพาะเรื่องการไม่อุ้มราคาก๊าซ LPG ให้เป็นปัญหาระยะยาวโดยไม่สะท้อนราคาจริง และก็ยังอุ้มราคาน้ำมันดีเซลอยู่

แค่ปรับราคาก๊าซเดือนละ 50 สตางค์ต่อกิโลกรัม ก็เล่นเอาราคาสินค้าทั่วไปพุ่งพรวดอย่างไร้เหตุผล จนกระทบไปถึงการเมืองเรื่องปัญหาปากท้อง ผสมกับพ.ร.บ.กู้เงินเป็นล้านล้าน และการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่พยายามยัดเยียดจะให้เป็นเรื่องล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตยเสียให้ได้

นโยบายพลังงานก็พลอยโดนหางเลขไปด้วย

วันนี้ (13 ตุลาคม) ชมรมคอลัมนิสต์ นักจัดรายการวิทยุและโทรทัศน์ไทยได้นัดสมาชิกสื่อมวลชนหลายแขนงจำนวน 2 คันรถบัสเดินทางไปที่เขื่อนวชิราลงกรณ์ อำเภอทองผาภูมิ กาญจนบุรี เพื่อสัมผัสกับบรรยากาศเขื่อน โดยไม่ได้พูดเรื่องเขื่อน แต่แลกเปลี่ยนข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องอนาคตของพลังงานไทยกับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย

มันก็หนีหัวข้อ "หายนะพลังงานไทย?" ไม่พ้นอยู่ดี

เนื่องเพราะเรื่องนี้แม้พูดมาเมื่อ 6 เดือนก่อนหรือวงเสวนาก่อนหน้าหลายวาระ ข้อมูลวันนี้ก็ยังน่าหวาดหวั่นว่าจะเกิดความหายนะทางด้านพลังงานในบ้านเราหรือไม่

เมื่อสัมผัสกับพฤติกรรมของคนไทยที่บริโภคทั้งน้ำมัน และก๊าซทุกชนิดแล้ว

ขอโทษ เราใช้พลังงานฟุ่มเฟือย แบบอีลุ่ยฉุยแฉกจริงๆ หรือไม่!

คุณมนูญ ศิริวรรณ ผู้เชี่ยวชาญด้านพลังงานซึ่งเป็นสมาชิกของชมรมฯ นี้ด้วย ได้เผยตัวเลขที่น่าตกใจว่า ไทยผลิตก๊าซเป็นอันดับที่ 25 ของโลก สั่งซื้อเข้ามามากเป็นที่ 21 ของโลก แต่เราใช้ก๊าซมากเป็นอันดับที่ 17 ของโลก

เทียบเคียงเพื่อนบ้าน มาเลเซียใช้ก๊าซผลิตไฟฟ้า 22% อินโดนีเซียใช้ 61% แต่พี่ไทยใช้ก๊าซมากถึง 68% ยิ่งถ้าเทียบประชากรระหว่างอินโดนีเซียซึ่งมีมากกว่า 200 ล้านคน กับคนไทยแค่ 65 ล้านคนแล้ว ถือว่าเราใช้ก๊าซผลิตไฟฟ้าสูงมาก

แต่เอาเถอะ เรื่องนี้ยังโทษใครไม่ได้ เพราะการใช้ก๊าซมากขึ้น ถือเป็นความจำเป็นเพราะราคาถูกกว่าซื้อน้ำมันมาปั่นไฟเป็นไหนๆ

แล้วก็อย่ามาโทษประชาชนที่ใช้รถยนต์ติดก๊าซ LPG มากขึ้น เพราะเขาก็จำเป็นต้องดิ้นรนให้พลังงานที่ราคาถูกกว่ามาใช้แทนน้ำมัน

จนเราลืมสังเกตไปเลยว่า แม้แต่ ปตท.ก็ขยายปั๊มก๊าซอย่างออกหน้าออกตา โดยไม่มีใครตำหนิว่าไม่ควรใช้ก๊าซในรถยนต์อีก ไม่มีใครมาใส่ร้ายว่าไฟไหม้รถยนต์ ที่ติดตั้งก๊าซต่อไป เพราะถ้าประมาทและขาดมาตรฐานแล้วไซร้ รถยนต์ยี่ห้อดีใช้น้ำมันหรือก๊าซก็มีสิทธิ์ไฟไหม้และระเบิดได้ทุกเมื่อ

ทำให้รถยนต์เมืองไทยมีพลังงานให้เลือกใช้หลากหลายชนิด ทั้งเบนซิน ดีเซล LPG และ NGV สามารถลดค่าใช้จ่ายลงได้ไม่น้อย...เพราะ หากขืนให้ใช้น้ำมันเบนซิน กับดีเซล เพียง 2 ชนิดตั้งแต่ต้น ป่านนี้ประเทศไทยมิต้องสั่งซื้อน้ำมันราคามหาโหดจากต่างชาติมาผลาญกันบานตะเกียงยิ่งกว่านี้หรือ

แต่นั่นก็ไม่ใช่ประเด็น

ประเด็นคือ ใครที่พยายามบิดเบือนตัวเลขว่าแผ่นดินไทยผลิตพลังงานเองได้ ก็จริง ไม่ผิดหรอก... แต่มันอยู่ที่ว่าบ้านเราผลิตพลังงานได้ไม่พอใช้ เราต้องนำเข้า ต้องซื้อราคาแพงมาป้อนให้เพียงพอใช้

ที่สำคัญอีก 2 ประการคือ คนไทยใช้พลังงานอย่างสุรุ่ยสุร่าย "โคตรฟุ่มเฟือยที่สุด" ทั้งคนรวยและคนกระเป๋าแห้งพอๆ กันนั้นเรื่องหนึ่ง และอีกเรื่องคือ เราปล่อยและ "เป็นใจ" ให้ผลิตรถยนต์กันจนล้นประเทศ แล้วหลงภูมิใจที่เมืองไทยจะได้ชื่อว่า "ดีทรอยต์แห่งเอเชีย" ยังงั้นหรือ?

แหม..ออกนโยบาย "รถคันแรก" ...ใช่ มันดีที่เงินสะพัด แต่มันสะพัดเข้ากระเป๋าเจ้าของรถต่างชาติโน่น ดีใจที่ยอดขายรถเป็นล้านคัน แล้วตอนนี้เป็นไง...เงินในกระเป๋าฝืดไม่มีกำลังที่จะไปซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคอื่นๆ โทรทัศน์ พัดลม เสื้อผ้าสารพัด ตู้เย็นที่จำเป็น ต้องระงับซื้อ เพื่อเอาเงินไปจ่าย "ค่ารถคันแรก"

ต้องเจียดเงินซื้อน้ำมัน หรือก๊าซก่อนเรื่องอื่นใช่หรือไม่...มันก็ผลาญเงินซื้อรถ ซื้อน้ำมันจากต่างชาติทั้งสิ้น

เราจึงเป็นประเทศที่บริโภคพลังงานสูงปรี๊ดเป็นอันดับที่ 2 ของอาเซียน และเป็นสัดส่วนการบริโภคพลังงานต่อ GDP สูงกว่าทุกประเทศในอาเซียน

และสูงกว่าค่าเฉลี่ยจากการใช้พลังงานของทุกประเทศในโลก...คงปลื้มมากสินะ

แต่โทษที มันสนุก สะดวก "เอามัน" มันดันกลายเป็นหนทางที่มุ่งไปสู่ หายนะพลังงานไทย!