"ประเทศที่เพิ่งผ่านสงครามเพียง 38 ปี" คือ ตอนแรก ที่ผู้เขียนได้พยายามสื่อถึงประวัติสงครามเวียดนาม ที่เพิ่งผ่าน พ้นไปเพียง 38 ปี แต่ประเทศนี้กลับเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ประเทศพัฒนาอย่างรวดเร็ว กลายเป็นขุมสมบัติของนักลงทุน ทั่วโลก
โฮจิมินห์ หรือชื่อเดิม ไซง่อน คือเมืองหลวงของเวียดนาม เมื่อครั้งที่ฝรั่งเศสเข้ามาปกครองต่อด้วยสหรัฐอเมริกา จนเมื่อ ถึงวันปลดแอกจากการเป็นเมืองขึ้นมีเอกราชเต็มตัว รัฐบาลเวียดนามจัดการย้ายเมืองหลวงจากไซง่อนขึ้นไปอยู่ที่ฮานอย ทางตอนเหนือของประเทศ แล้วเปลี่ยนชื่อ ไซง่อน มาเป็น โฮจิมินห์ ตามชื่อวีรบุรุษของพวกเขา นั่นคือ "คุณลุงโฮ" ที่คนทั่วโลกรู้จัก เพื่อหนีฝันร้ายต่างๆ ที่ชาวเวียดนามต้องประสบพบเจอในอดีต
ทุกวันนี้โฮจิมินห์กลายเป็นเมืองเศรษฐกิจอันดับหนึ่งของ เวียดนาม เนื่องจากความเจริญต่างๆ ที่ฝรั่งเศสนำเข้ามา เมื่อครั้งปกครองแล้วตั้งเมืองนี้เป็นจุดยุทธศาสตร์ หรือเมืองหลวง
โฮจิมินห์มีประชากรอาศัยอยู่ประมาณ 10 ล้านคน ประชาชนในเวียดนามนิยมที่จะเลือกทานผักเป็นหลัก ซึ่งผู้อ่าน ที่ชอบทานอาหารเวียดนามคงทราบดีว่า อาหารเวียดนามแต่ละ เมนูส่วนใหญ่จะมีผักเป็นเครื่องเคียงที่ขาดไม่ได้ สิ่งนี้ทำให้คนเวียดนามส่วนใหญ่มีรูปร่างสมส่วน ผิวพรรณผ่องใส จนมีคนบอกว่าผู้หญิงเวียดนามเปรียบเสมือน ไข่มุกเอเชีย
จากการที่โฮจิมินห์เป็นเมืองเศรษฐกิจเบอร์หนึ่งของประเทศ เราจึงไม่แปลกใจว่าทำไม เมืองนี้ที่ไม่ใช่เมืองหลวงจึงเต็มไปด้วย ความเจริญ กลุ่มทุนทั้งใน และต่างชาติเข้าไปเปิดกิจการ ตั้งรกรากบริษัทมากมาย 2 ฝั่งถนน
และด้วยความที่โฮจิมินห์กำลังเจริญรุดหน้า ที่ดินในเมือง จึงแพงระยับ แต่ละตึกของแต่ละบริษัทต้องมีพื้นที่จอดรถใต้ดิน ให้เห็น จนกลายเป็นแบบแปลนก่อสร้าง ที่เลียนแบบต่อๆ กันไป
ในด้านของธุรกิจขายตรง จากที่ "สยามธุรกิจ" ก็มีการหยิบยกสืบเสาะข่าวคราวอยู่บ่อยครั้ง ถึงรายชื่อบริษัทต่างๆ ที่ ออกไปปักฐานสร้างเครือข่ายในเวียดนาม ผู้เขียนคงไม่ต้องเอ่ย นามว่ามีบริษัทใดบ้างที่เข้าไปในเวียดนามแล้วในปัจจุบัน
จากตัวเลขต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการเติบโตของกลุ่มสินค้าเครื่องสำอางในปี 2012 ที่เติบโตกว่า 30% สินค้าเสริมอาหาร เติบโตกว่า 20% ทำให้เห็นชัดว่า สินค้าหลักของวงการขายตรง ในเวียดนามกำลังเติบโตอย่างดี
ด้านมูลค่าการตลาดรวมธุรกิจขายตรงในปี 2012 เวียดนาม มีเค้กมูลค่าสูงประมาณ 9 พันล้านบาท เติบโตสูงสุดเป็นอันดับ 2 ในกลุ่มประเทศอาเซียน คือ 12% โดยมีบริษัทขายตรงทั้งหมด 78 บริษัทที่จดทะเบียน และดำเนินธุรกิจอยู่ 54 บริษัท แบ่งเป็นแบรนด์ต่างชาติ 16.7% ที่เหลือเป็นแบรนด์ท้องถิ่น ที่สำคัญ ซึ่งถือเป็นข่าวดีของบริษัทขายตรงไทยคือ คนเวียดนามยอมรับ ในสินค้าของไทยมากกว่าสินค้าในประเทศตัวเอง รวมถึงจากมูลค่าการตลาดขายตรงของเวียดนาม ส่วนใหญ่มากกว่าครึ่ง เป็น ยอดขายของบริษัทต่างชาติ
ประเทศเวียดนามถือเป็นประเทศใหม่ที่กำลังพัฒนาได้อย่างรวดเร็ว ผู้คนมีความต้องการด้านพื้นฐานสูง แม้ว่าวันนี้คน เวียดนามยังไม่ใช่กลุ่มคนที่มีรายได้สูง แต่ความต้องการในสินค้า เพื่อสุขภาพ และความงามก็มีมาก สิ่งเหล่านี้ธุรกิจขายตรงน่าจะเป็นธุรกิจที่ตอบโจทย์คนเวียดนามได้เป็นอย่างดี
และคงไม่มีเหตุผลใดที่จะมองข้ามเวียดนาม หากคิดจะสร้างธุรกิจรองรับ AEC หรือความมั่งคั่งในอนาคต