วิเคราะห์การเมือง : by นพคุณ ศิลาเณร

ต้นเดือนตุลาคม รัฐบาลพรรคเพื่อไทย และมวลชนคนเสื้อแดง ล้วนได้รับข่าวดีมาเพิ่มพลังต่อสู้ทางการเมือง อีกหลายกระบุงโกย

มันเป็นข่าวดีสวนกระแสโหรการเมือง ทำนายว่า 8 ตุลาคม ดวงเมืองจะวิบัติ อนาคตรัฐบาลภายใต้การนำของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี จะล่มจมหมดอำนาจลง

เมื่อ 8 ตุลาคมมาถึง แล้วผ่านไป ไม่มี สิ่งเลวร้ายเกิดขึ้นตามคำทำนาย ตรงกันข้าม กลับมีแต่สิ่งดีๆ มาเสริมเพิ่มความแข็งแกร่ง ให้รัฐบาลและพรรคเพื่อไทยได้เป็นแต้มต่อเหนือพรรคประชาธิปัตย์และกลุ่มพรรคพวก อยากล้มรัฐบาล

หากพิจารณาในเชิงความสัมพันธ์ทาง การเมืองแบบ "คู่ตรงข้ามความขัดแย้ง" แล้ว ย่อมชัดเจนว่าข่าวดีของรัฐบาลเท่ากับ สิ่งเลวร้ายของพรรคประชาธิปัตย์

"ดีกับร้าย" มีความหมายแบบคู่ตรงข้ามในสถานการณ์เฉพาะหนึ่งๆ เท่านั้น ไม่ใช่ความจีรังยั่งยืน แต่แปรเปลี่ยนไปตาม ปัจจัยแวดล้อมกำหนดพฤติกรรม

คนอยู่กับสถานการณ์มีทั้งด้านดี-ด้านร้ายเป็นความหมายของ "เอกภาพที่แตกต่าง" เหมือนเหรียญมีสองด้าน ดังนั้น "ดีกับร้าย" จึงขึ้นอยู่กับปัจจัยแวดล้อมเอื้ออำนวยให้เกิดการปรับตัว แสดงพฤติกรรม และสะท้อนการเอาตัวรอดเป็นเฉพาะกรณี

หมายความว่า สิ่งดีในวันนี้ อาจ "เลวร้ายสุดๆ" ในวันหน้า และร้ายอาจแปรเปลี่ยน เป็น "ดีหย่อมๆ" ขึ้นมาได้ นั่นคือการรับรู้บทเรียนมาปรับตัวให้ดำรงอยู่ท่ามกลางปัจจัย แวดล้อมทางสังคม

มนุษย์จึงไม่ควรซ้ำเติมด้านร้าย และอย่าเหลิงในด้านดีจนน่าหมั่นไส้ เพราะในสิ่งดีบ่งบอกถึงสิ่งร้ายจะค่อยๆ ปรับตัวพัฒนา อย่างมีคุณภาพในสิ่งใหม่อย่างไม่หยุดนิ่ง

คำทำนายสิ่งเลวร้ายเมื่อ 8 ตุลาคม สังคมที่มากด้วยความเชื่อเกิดตื่นตระหนก อารมณ์การเมืองแบ่งฝ่ายเต็มไปด้วย "จริตสะใจ" ดังนั้น อารมณ์จึงเป็นแกนกลางของความเชื่อ แล้วตีความคำทำนายด้วย "ความอยาก" ของแต่ละฝ่ายจนนำพาไปสู่ "ชีวิตอมทุกข์"

แต่เมื่อเหตุการณ์จริงปรากฏขึ้นโดยไม่สนองตอบความอยาก จึงสะท้อนด้านดี-ด้านร้ายให้ปรากฏ ส่วนใหญ่เป็นด้านดีของพรรคเพื่อไทยกับรัฐบาล และพรรคประชาธิปัตย์รับสิ่งร้ายๆ ทางอารมณ์ แทบระทมทุกข์ยกพรรค

ศาลรัฐธรรมนูญวินิจ "ยกคำร้อง" ข้อกล่าวหาของพรรคประชาธิปัตย์และกลุ่ม 40 ส.ว. สรรหา ในกรณีกฎหมายงบประมาณรายจ่ายปี 2557 ขัดรัฐธรรมนูญ รัฐบาลดีใจ ได้เดินหน้าบริหารประเทศด้วยงบประมาณขาดดุล 2.5 ล้านล้านบาท อย่างที่ต้องการ นั่นเป็นเพียงด้านดีและร้ายในสถานการณ์กฎหมายงบประมาณรายจ่าย

ศาลรัฐธรรมนูญ "ยกคำร้อง" ข้อกล่าวหาว่า ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญว่าด้วยวุฒิสภามาจากการเลือกตั้งขัดรัฐธรรมนูญ มาตรา 154 นี่เป็นเพียงด้านดี-ด้านร้ายของ การแก้ไขรัฐธรรมนูญไม่ได้เข้าข่ายตามมาตรา 154 ซึ่งใช้บังคับเฉพาะ "ร่างพระราชบัญญัติขัดรัฐธรรมนูญ" เท่านั้น

ที่ประชุมวุฒิสภารับ "หลักการ" ร่างกฎหมายกู้เงิน 2 ล้านล้านบาท ย่อมเป็นข่าว ดีของรัฐบาลอย่างมากโข และอีกไม่นานเกิน รอ กฎหมายกู้เงินต้องผ่านวุฒิสภา แล้วไปเผชิญกับข้อกล่าวหา "ขัดรัฐธรรมนูญ" ในศาลรัฐธรรมนูญ

ดังนั้น ข่าวดีกับข่าวร้ายยังอยู่ในอาการลุ้นระทึกทุกขณะ เพราะด้านดีกับร้ายยังต้องปรับตัวต่อสู้กันครั้งใหม่ในปัจจัยศาลรัฐธรรมนูญ การแปรเปลี่ยนย่อมเกิดได้เสมอ จากดีมาเป็นร้าย หรือซ้ำเติมร้ายให้ทุกข์สาหัสหนักเข้าไปอีก

นายอรรถพล ใหญ่สว่าง อัยการสูงสุด พาพวกนั่งแถลง "สั่งไม่ฟ้อง" พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ในคดี "ก่อการร้าย" เนื่องจากพยานหลักฐานยัง "ไม่พอ" ว่าสนับสนุนให้ผู้อื่นกระทำผิดฐานก่อการร้าย

ไม่เพียงเท่านั้น ม็อบกองทัพประชาชนโค่นระบอบทักษิณที่อาศัยทีเผลอของรัฐบาล ยกพวกมาชุมนุมข้างทำเนียบ ราวกับ "ก่อกองไฟ" ในเหตุการณ์คำทำนาย 8 ตุลาคมให้เกิดขึ้น

แต่ล้มเหลวลง ต้องถอนทัพกลับสวนลุมพินี ซ้ำร้ายมวลชนเกิดแตกคอกับแกนนำ แยกพวกปักหลักชุมนุมปิดถนนแยกอุรุพงษ์ ต่อสู้ นั่นเป็นด้านดีกับร้ายในขบวนการชุมนุมไล่รัฐบาล

หนำซ้ำยังร้ายแรงหนักทับทวีไปอีก เมื่อ น.ต.ประสงค์ สุ่นศิริ เจ้าของฉายา "ปีศาจคาบไปป์" นั่งเก้าอี้ขาหัก ล้มหัวฟาดพื้นกลางวงม็อบ ลางร้ายสะท้อนถึงความวิบัติของมวลชนไล่รัฐบาลมาถึงราวกับสิ่งร้ายๆ ของ 8 ตุลาคม ได้กระหน่ำใส่ฝ่ายตรงข้ามรัฐบาลจนแตกกระเจิง

ปัจจัยสถานการณ์ต้นเดือนตุลาคม ทั้งปวงนั้น ล้วนมีด้านดีกับรัฐบาลพรรคเพื่อไทย แต่ไม่ได้หมายความว่า สิ่งดีๆ จะจีรังยั่งยืนต่อรัฐบาลเสมอไป หากเข้าใจก็อย่า เหลิงจนละเลยพัฒนา ปรับตัวให้ด้านดี ยกระดับหนีด้านร้ายที่เร่งอารมณ์ใหม่เข้าโถมใส่ในสถานการณ์ใหม่ๆ ข้างหน้า

ด้านพรรคประชาธิปัตย์คงอธิบายด้วย "ลัทธิคราวซวย" ไม่ได้ เพราะหน่อผลความเลวร้ายจากการต่อสู้ที่โหมเข้าใส่จนอยู่กับอารมณ์ง่อยๆ ทั้งพรรคนั้น เกิดจาก ปัจจัยการกระทำล้วนๆ และนี่คือสัจธรรมการต่อสู้ของคู่ขัดแย้ง

ศึกภายนอกทั้งการเคลื่อนมวลชนมากดดันรัฐบาลและการตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญเป็นความพ่ายแพ้ที่เกิดจากสิ่งเลวร้ายของพรรคประชาธิปัตย์ทั้งสิ้น ซ้ำร้ายศึกภายในท่ามกลางแรงกดดันให้ปฏิรูปพรรค เริ่มกลายเป็นความแตกแยก ยากต่อการประสานกันได้

"อลงกรณ์ พลบุตร" จุดยืนการเมืองจะดี-ร้ายก็ตาม แต่เขากำลังกลายเป็นสิ่ง "ไร้ค่า" ของพรรคประชาธิปัตย์ และนี่คือปัจจัยแวดล้อมกำหนด ทำให้เกิดความแตกต่าง

ในด้านร้ายๆ ที่พรรคประชาธิปัตย์รับภาระอยู่ ในสถานการณ์การต่อสู้นั้น พวกเขายังมีความหวังเดียวในปัจจัยของศาลรัฐธรรมนูญที่จะตัดสินตามข้อหา "ฝ่าฝืนมาตรา 68" โดยเฉพาะการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ประเด็นที่มา ส.ว.

ความผิดมาตรา 68 คือ ล้มการปกครอง ซึ่งมีโทษ "ยุบพรรค" นี่คือ ปัจจัยใหม่ในการต่อสู้ และสามารถพลิกสิ่งเลวร้าย ให้กลับกลายเป็นสิ่งดีๆ เกิดขึ้นกับพรรคประชาธิปัตย์ได้บ้าง

แต่ปัจจัยศาลรัฐธรรมนูญตามมาตรา 68 ในสถานการณ์แก้ไขรัฐธรรมนูญกลับยุ่งยากในกระบวนการเป็นอย่างยิ่ง เมื่อช่วง เวลาการชี้ขาดของศาลรัฐธรรมนูญได้ "ทับซ้อน" กับขั้นตอนการทูลเกล้าฯ ที่นายกรัฐมนตรีชิงดำเนินการไปแล้ว

มีแนวโน้มว่า สถานการณ์มาตรา 68 พรรคประชาธิปัตย์คงรับความเลวร้ายซ้ำเติมไปอีก แต่หนทางได้รับสิ่งดีๆ ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของศาลรัฐธรรมนูญว่า จะกล้าทวนปัจจัยแวดล้อมใหม่ด้านมวลชนคนบ้านนอกที่แข็งแกร่งขึ้นหรือไม่

นี่เป็นคำตอบในด้านดีที่ต้องเจอปนกับด้านร้ายด้วยเสมอ เพราะ "ดีกับร้าย" ย่อมดำรงอยู่ด้วยความสัมพันธ์ ยาก ที่จะแยกตัวออกไปอยู่โดดเดี่ยว แล้วสถาปนาความยั่งยืนขึ้นเป็นเอกสิทธิ์เฉพาะได้