สัมภาษณ์พิเศษ : by อัมพร สิทธิผา

ดร.เทอดเกียรติ ชินสรนันท์ นายกเทศมนตรีนครแม่สอด อยู่ในสนามการเมืองท้องถิ่นตั้งแต่ปี 2533 จนถึงปัจจุบัน กว่า 23 ปี ที่เป็นนักการเมืองท้องถิ่นมีความโดดเด่นยิ่งในด้านวิสัยทัศน์ ความรู้ และความสามารถ กระทั่งได้รับคัดเลือกให้เป็นกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (กกถ.) อีก 1 ตำแหน่ง

ที่โดดเด่นที่สุดคือ การเป็นผู้ริเริ่ม และผลักดันให้เกิดท้องถิ่นรูปแบบพิเศษ นครแม่สอด และเขตเศรษฐกิจพิเศษนครแม่สอดมาอย่างยาวนาน กระทั่งปัจจุบันคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้เห็นชอบให้มีการจัดตั้งเป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษเรียบร้อยแล้ว โดยรัฐบาลคาดหวังว่านครแม่สอด จะเป็นแบบอย่างในด้านการค้า การลงทุน ในภูมิภาคนี้

นายกเทศมนตรีนครแม่สอด กล่าวว่า อยู่ที่แม่สอดมาตั้งแต่เป็นเทศบาลตำบล เป็นเมือง และเป็นเทศบาล นคร กระทั่งคณะรัฐมนตรี นำโดย น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีในครั้งมาประชุมคณะรัฐมนตรีที่แม่สอดไม่นานมานี้ได้มีมติให้แม่สอดเป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษ เพื่อรองรับการค้าชาย แดน การลงทุน และการเชื่อมต่อไปยังภูมิภาคอื่นๆ

ดร.เทอดเกียรติ ย้ำว่า เขตเศรษฐกิจ พิเศษนครแม่สอด จะสมบูรณ์แบบในอีก 2 ปีข้างหน้า อันสอดคล้องกับการเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน โดยจะมีการขยาย ตัวในด้านคมนาคม เศรษฐกิจ การค้า การลงทุน การท่องเที่ยว อันจะทำให้ประชาชน ในภูมิภาคนี้หรือภูมิภาคใกล้เคียงมีงาน มีเงิน เกิดการค้า การบริการขนาดใหญ่ มีเงินสะพัดหลายแสนล้านบาท อันจะทำให้ เกิดความเจริญในทุกด้าน ครอบคลุมทุกมิตินั่นเอง

"แม่สอดมีศักยภาพอย่างเต็มที่ที่จะ เป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษ เนื่องจากสามารถ เชื่อมโยงไปยังประเทศอื่นๆ ได้เช่น ประเทศ เมียนมาร์ หรือพม่า อินเดีย ปากีสถาน อิหร่าน และเข้าสู่ทวีปยุโรป อันเป็นเส้นทางสายเศรษฐกิจ หรือลอจิสติกส์ ที่มากไปด้วยเม็ดเงินมหาศาล นอกจากนี้ ยัง สามารถเชื่อมไปลาว เวียดนาม และ ประเทศจีนได้ โดยเริ่มมาจากมุก ดาหารแล้วตัดถนนเป็นเส้นตรงมาที่ แม่สอดออกสู่ประเทศเมียนมาร์"

โดย "ดร.เทอดเกียรติ" บอกว่า บางเส้นทางเช่น ตาก-แม่สอด หรือเพชรบูรณ์-หล่มสัก อาจจะต้องเจาะอุโมงค์เพื่อให้เกิด ความสะดวกในด้านคมนาคมขนส่ง ซึ่งการเจาะอุโมงค์ดังกล่าวจะไม่กระทบด้านสิ่งแวดล้อมด้วย อันจะเป็นการย่นระยะการเดินทางระหว่างภูมิภาคต่างๆ ให้ เร็วขึ้น ซึ่งจากเดิมทางประเทศจีนจะขน ส่งทางน้ำมาที่ประเทศสิงคโปร์ แล้วไปประเทศอินเดีย ใช้ระยะเวลากว่า 10 วัน แต่หากใช้เส้นทางสายตรงจากมุกดาหารผ่านแม่สอด เข้าพม่า และเข้าสู่ประเทศอินเดียจะใช้ระยะเวลาเดินทางเพียง 3 วัน ถือว่าย่นระยะเวลาได้มากเลยทีเดียว

"นอกจากนี้ สะพานมิตรภาพไทย-พม่า ข้ามแม่น้ำเมย อาจจะต้องมีการปรับ ปรุงใหม่ หรือขยายให้กว้างขึ้น เพื่อรองรับ การขนส่งและการเชื่อมสู่ภูมิภาคอื่นๆ หรือ อาจจะมีการเจาะถนนลอดแม่น้ำเมย ทำเป็นอุโมงค์เพื่อให้เกิดความสะดวกและรอง รับการขนส่ง หรือระบบลอจิสติกส์ได้มาก ยิ่งขึ้น หากทั้งหมดรัฐบาลเห็นด้วย หรือสนับสนุนอย่างจริงจัง จะทำให้ภูมิภาคนี้และภูมิภาคใกล้เคียงเกิดความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจได้ไม่ยาก โดยมีการคาดการณ์กันว่าจะมีเงินสะพัดตามเส้นทางดังกล่าวกว่า 2 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ ถือว่าเป็น เม็ดเงินที่มหาศาลเลยทีเดียว"

สำหรับในฐานะกรรมการการกระจาย อำนาจฯ นายกเทศมนตรีนครแม่สอด ให้ความเห็นว่า ปัจจุบันการกระจายอำนาจยังมีปัญหา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการถ่ายโอนคน เงิน และงาน โดยเฉพาะเรื่องเงิน แม้ ว่าก่อนหน้านี้จะกฎหมายการกำหนดแผนและขั้นตอนการกระจายอำนาจจะได้กำหนด ให้รัฐบาลจัดสรรเงินมาให้ท้องถิ่นร้อยละ 35 ต่อรายได้สุทธิของรัฐบาล แต่ก็มีการแก้ไขเพื่อเลี่ยงสัดส่วนดังกล่าว

"ปัจจุบันให้เพียงร้อยละ 28 ถือว่าน้อยมาก และทำให้ท้องถิ่นขนาดเล็ด เช่น เทศบาลตำบล และองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) ประสบปัญหาเงินไม่พอจ่าย ไม่มีงบลงทุน หรือไปพัฒนาในเรื่องโครง สร้างพื้นฐาน ดังนั้น รัฐบาลอาจจะต้องทบ ทวนเรื่องนี้ใหม่ และแก้ไขปัญหาเงินไม่พอ ต่อการพัฒนาของท้องถิ่นขนาดเล็ก หรืออาจจะต้องเพิ่มรายได้ให้ท้องถิ่นด้วยการขยายฐานภาษี หรือให้อำนาจท้องถิ่นในการจัดเก็บภาษีหรือหารายได้เพิ่ม เพื่อให้เพียงพอต่อการพัฒนาด้านต่างๆ"

ดร.เทอดเกียรติ ให้ความเห็นอีกว่า นอกจากนี้ท้องถิ่นเองทั้ง อบจ.เทศบาล และ อบต.ก็ยังมีปัญหาเกี่ยวกับการแบ่งงบประมาณด้วยกันเอง เช่น เรื่องภาษีล้อเลื่อน ที่ปัจจุบัน อบจ.ได้เพียงหน่วยงานเดียว ขณะที่ อบต.และเทศบาลก็ประสบปัญหาด้านงบประมาณไม่เพียงพอ สิ่งเหล่านี้รัฐบาลต้องมีมาตรการในการแก้ไขปัญหาระยะยาว โดยอาจจะต้องแบ่งภาษีกันใหม่ ทั้งระบบ เพื่อให้เกิดความเป็นธรรม และจำเป็นต่อการบริการสาธารณะในพื้นที่

นายกเทศมนตรีนครแม่สอด กล่าวอีกว่า การเพิ่มอำนาจ หรือให้ท้องถิ่นจัดการตนเอง หรือผลักดันให้เกิดท้องถิ่นรูปแบบพิเศษหรือเขตเศรษฐกิจพิเศษ ก็เป็นอีกวิธีการหนึ่งที่จะแก้ไขปัญหาด้านงบประมาณ และการให้บริการกิจการสาธารณะของท้องถิ่นได้ โดยอาจจะต้องทดลองหรือนำร่องในพื้นที่ที่มีความพร้อมก่อน เช่น แหลมฉบัง หรือเกาะสมุย ตามที่ครม. เห็นชอบไปแล้ว สิ่งเหล่านี้กำลังสะท้อนให้เห็นว่า รัฐบาล เองก็เห็นความสำคัญของท้องถิ่นในการร่วมกันพัฒนาพื้นที่ ไม่ได้เพิกเฉย ต่อข้อเรียกร้องของท้อง ถิ่นเสียทีเดียว

"ในอนาคตแม่สอด จะเป็นพื้นที่ ที่สร้างเม็ดเงินให้กับประเทศและพี่น้อง ประชาชนในพื้นที่อย่างมหาศาล ฉะนั้น ต้องขอขอบคุณรัฐบาล โดยเฉพาะ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ที่ให้ความสำคัญกับท้องถิ่นมีการอนุมัติ ให้แม่สอดเป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษ โดยเชื่อว่าแม่สอดมีศักยภาพ และจะทำให้เศรษฐกิจขยายตัว และเติบโตแบบก้าว กระโดดสร้างเงินสร้างงาน และสร้างรายได้มาสู่พี่น้องประชาชน อย่างถ้วนหน้า ถือเป็นนิมิตหมายที่ดีของแม่สอด ก็ต้อง ขอขอบคุณท่านนายกรัฐมนตรีด้วย"

เป็นวิสัยทัศน์และแนวนโยบายของ ดร.เทอดเกียรติ ชินสรนันท์ นายก เทศมนตรีนครแม่สอด ที่มุ่งมั่นและตั้งใจ จริงที่จะพัฒนาแม่สอดให้เป็นพื้นที่ที่มีความเจริญในทุกด้าน เพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อพี่น้องประชาชนมากที่สุด