Toggle navigation
วันเสาร์ ที่ 21 มิถุนายน 2568
หน้าแรก
ข่าวสาร
วิเคราะห์-บทความ-ต่างประเทศ
ประกัน
ยานยนต์
การเงิน-ธนาคาร
หุ้น-กองทุนรวม
อสังหาริมทรัพย์
พลังงาน-คมนาคม-โลจิสติกส์
อุตสาหกรรม-เออีซี-เอสเอมอี
ไอที
การศึกษา-กทม
การตลาด-ซีเอสอาร์
เกษตรยุคใหม่-ภูมิภาค
บันเทิง
ขายตรง
ประชาสัมพันธ์
PR NEWS -ข่าวประชาสัมพันธ์
ไลฟ์สไตล์
ท่องเที่ยว
แฟชั่นโซไซตี้-ดูดวง
ช๊อป-ชิม-ชิล
สุขภาพ-ความงาม
วิดีโอ-คลิปข่าว
E-Book
นสพ. สยามธุรกิจ
ติดต่อเรา
สามารถส่งข้อมูล ข่าวสาร ทางอีเมลล์ : siamturakijonlinenews@gmail.com และ สำหรับฝ่ายโฆษณา ทางอีเมลล์ : siamturakijadvertising@gmail.com
หน้าแรก
วิเคราะห์-บทความ-คอลัมน์
"เสกสรร" ถอดรื้อเจตนารมณ์ 14 ตุลา ประชาธิปไตยคือ.. "ประชาชนเป็นนายตัวเอง"
"เสกสรร" ถอดรื้อเจตนารมณ์ 14 ตุลา ประชาธิปไตยคือ.. "ประชาชนเป็นนายตัวเอง"
วันพุธที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2556
Tweet
วิเคราะห์การเมือง : by นพคุณ ศิลาเณร
ดร.เสกสรร ประเสริฐกุล อดีตผู้นำนักศึกษาในเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 ปัจจุบันเขาเป็นนักคิด นักเขียน และนัก วิชาการด้านรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ในงาน "40 ปี 14 ตุลา เพื่อประชาธิปไตยสมบูรณ์" ที่หอประชุมใหญ่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เมื่อ 13 ตุลาคม ที่ผ่านมา ดร.เสกสรร เป็นองค์ปาฐก ในหัวข้อ "เจตนารมณ์ของเหตุการณ์ 14 ตุลาฯ" ระหว่างปาฐกถานานเกือบชั่วโมง ได้รับเสียงปรบมือดังสนั่นลั่นหอประชุมเป็นระยะๆ
เนื้อหาปาฐกถาของ ดร.เสกสรร ถูกกล่าวถึง อย่างกว้างขวางว่า เต็มไปด้วยแก่นประชาธิปไตยของประชาชน เป็นการประกาศ "ตัวตน" ได้แจ่มชัด และวิเคราะห์สาเหตุประชาธิปไตยไทยได้อย่าง แตกฉาน ลงลึกระดับฐานรากของปัญหา
สื่อมวลชนนามปากกา "ใบตองแห้ง" ถึงกับยกย่องเป็นปาฐกถาระดับ "ปรมาจารย์" และถอดรหัสว่า ขบวนการเสื้อแดงคือ ผู้สานต่อเจตนารมณ์ประชาธิปไตยของ 14 ตุลาคม
รายงานนี้คือ การสรุปเนื้อหาบางส่วนมานำเสนอตามสภาพพื้นที่จำกัด แต่รายละเอียดเนื้อหาฉบับเต็มอ่านได้จาก http://prachatai.com/journal/2013/10/49233 หรือฟังเสียงอย่างได้อรรถรส ที่ http://www.youtube.com/watch?v=slb 7AxjD2NY
โปรดติดตาม...
"คนเราจะบรรลุความเป็นเสรีชนได้อย่างไรหาก ไม่สามารถเลือกรัฐบาลที่ตัวเองพอใจและบอกโลกได้ว่าตัวเองต้องการอะไร ความเสมอภาคของมนุษย์จะปรากฏเป็นจริงด้วยวิธีไหนหากไม่ใช่สิทธิเสียงที่เท่ากันในการกำหนดชะตากรรมของบ้านเมือง
ความเป็นธรรมก็เช่นกัน เราคงไปถึงจุดนั้นไม่ได้ถ้าผู้คนที่เสียเปรียบไม่สามารถผลักดันให้รัฐคุ้ม ครองผลประโยชน์อันพึงมีพึงได้ของพวกเขา ดังนั้น ท่านทั้งหลายจะเห็นได้ว่า ระบอบประชาธิปไตยไม่ใช่การปกครองที่เลื่อนลอย หรือเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ที่จับต้องไม่ได้ หากเป็นความสัมพันธ์ทางอำนาจที่เรียบง่ายชัดเจนและมีสาระใจกลางของปรัชญาอยู่ หนึ่งประโยคเท่านั้นคือ ให้ประชาชนเป็นนายตัวเอง
ในแนวคิดประชาธิปไตย ไม่มีใครมีสิทธิปกครองผู้อื่นได้ เพราะทุกคนมีความเป็นพลเมืองเท่า เทียมกัน ดังนั้น การเป็นนายตัวเองจึงหมายถึงการปกครองตนเอง ซึ่งเมื่อแปลงเป็นระบอบการ เมืองแล้วเท่ากับว่ารัฐบาลต้องมาจากความเห็นชอบ ของประชาชน ในขณะที่ประชาชนย่อมมีเสรีภาพในการแสดงความต้องการของเขา แต่ก็อีกนั่นแหละ แค่คิดเช่นนี้ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายแล้ว
สำหรับสังคมที่ไม่เคยชินกับความเสมอภาค และยิ่งไม่เคยชินกับการลุกขึ้นยืนอย่างทรนงของประชาชนธรรมดา ดังนั้น การเคลื่อนไหวของกรรม-กรชาวนาและบรรดานักศึกษาที่เห็นอกเห็นใจในช่วงหลัง 14 ตุลา 2516 จึงถูกป้ายสีอย่างเป็นระบบ และถูกให้ร้ายว่าเป็นภัยต่อความมั่นคงในสายตาของ ชนชั้นปกครองไทย พวกเขาพยายามทำทุกอย่างเพื่อ สกัดการเติบโตของพลังประชาธิปไตย ของชนชั้นล่างๆ ที่เสียเปรียบ กระทั่งในที่สุดได้ก็ได้ใช้วิธีโหดเหี้ยม ป่าเถื่อน ผสานกำลังอันธพาลเข้ากับเจ้าหน้าที่ในเครื่องแบบล้อมปราบฆ่าฟันนักศึกษาประชาชนที่ชุมนุมในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เมื่อ 6 ตุลา 2519
"...เราจึงอดตั้งคำถามไม่ได้ว่า อะไรเล่าเป็นอุปสรรคกั้นขวางไม่ให้บ้านเมืองนี้สามารถตั้งรัฐบาล ได้อย่างสันติต่อเนื่อง อะไรทำให้ประชาชนต้องหลั่ง เลือดครั้งแล้วครั้งเล่า เพียงเพราะเขาไม่เห็นด้วยกับผู้กุมอำนาจ ด้วยเหตุอะไรหรือระยะ 40 ปีที่ผ่าน มา ประชาธิปไตยจึงไม่สามารถหยั่งรากมั่นคงในประเทศไทย ผมเองในฐานะปัจเจกชนอาจจะมอง ปัญหาไม่ครบถ้วน แต่เท่าที่เห็น คิดว่าอุปสรรคใหญ่ ของประชาธิปไตยน่าจะมาจากเหตุปัจจัย 3 อย่างที่เกี่ยวโยงสัมพันธ์กัน คือ อิทธิพลของชนชั้นนำภาค รัฐที่เคยผูกขาดอำนาจการปกครองมาก่อน ฐานะ ครอบงำของวัฒนธรรม อำนาจนิยมซึ่งไม่สอดคล้อง กับระบอบประชาธิปไตย และสภาพกำลังของฝ่ายประชาธิปไตยยังไม่มีลักษณะคงเส้นคงวา...
"...ประชาธิปไตยเป็นความคิดทางการเมืองและระบอบการเมืองที่ค่อนข้างใหม่สำหรับประเทศ ที่มีอายุหลายร้อยปีอย่างไทย ดังนั้น แม้ว่าประชาธิปไตยจะสะท้อนจิตวิญญาณของยุคสมัย และขั้นตอนสูงขึ้นของวิวัฒนาการทางสังคม แต่ก็มีข้อเสีย เปรียบที่ต้องแตกหน่อผลิใบบนผืนดินที่เต็มไปด้วยอำนาจเก่า ความคิดเดิม พูดง่ายๆ ว่า ประชาธิปไตยจะโตใหญ่ขยายตัวไม่ได้เลย หากไม่สามารถช่วง ชิงพื้นที่จากความคิดอื่น อำนาจอื่น ขณะเดียวกันผู้พิทักษ์แนวคิดเดิมและผู้ปกครองแต่เดิมก็ย่อมดิ้นรนต่อต้านเพื่อรักษาพื้นที่ตน อันนี้เป็นกฎธรรมดาของประวัติศาสตร์สังคม ดังนั้น ตลอด 40 ปีมานี้ นาฏกรรมทางการเมืองของไทยจึงหมุนวนรอบห้อม ล้อมรัฐประหารและการต่อต้านรัฐประหารซึ่งผูกพ่วงไปมาสลับกันระหว่างรัฐบาลเผด็จการและรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง ประชาชนได้รับอิสระเสรีภาพและเชิดชูความเท่าเทียมของมนุษย์ต้องหลั่งเลือดครั้งแล้วครั้งเล่าเพื่อให้ประชาธิปไตยมีที่อยู่ที่ยืน...
"...เราต้องยอมรับว่า สังคมไทยประกอบด้วยมวลชนจำนวนไม่น้อยที่สมาทานชุดความคิดแบบอำนาจนิยม อุปถัมภ์นิยม และชาตินิยมที่คับแคบและแยกออกจากประโยชน์สุขของประชาชน แนวคิดทั้งปวงนี้บางด้านเหมือนเป็นเรื่องธรรมดา แต่บางด้านก็ขัดแย้งกับคุณค่าประชาธิปไตยแบบประสานงา และยังถูกผลิตอย่างตั้งอกตั้งใจ และขยายเป็นพิเศษหลังรัฐประหารทุกครั้ง พูดอีกแบบก็คือ แทนที่ประชาธิปไตยไทยจะตั้งอยู่บนฐานวัฒนธรรมที่สอดคล้องกับมัน วัฒนธรรมที่เน้นย้ำเสรีภาพ ความเสมอภาค และความยุติธรรม การณ์ กลับกลายเป็นว่าประชาธิปไตยไทยยังไม่มีฐานวัฒนธรรมที่เหมาะสมคอยเกื้อหนุนและห้อมล้อมให้สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ...
"....กล่าวสำหรับการยืนหยัดพิทักษ์ประชาธิป ไตยนั้น ผมเชื่อมั่นว่า คนชั้นกลางใหม่ในต่างจังหวัดและคนชั้นกลางค่อนไปทางล่างในเมืองหลวง ตลอดจนปัญญาชนที่เห็นอกเห็นใจคงจะยืนอยู่ในจุดนี้ไปอีกนาน ด้วยเหตุผลเรียบง่าย คือ พวกเขาไม่มีทางเลือกเป็นอย่างอื่น พูดให้ชัดขึ้นก็คือ ความ เสียเปรียบทางชนชั้นอันสืบเนื่องจากโครงสร้างทุนนิยมนั้น ไม่อาจแก้ไขหรือชดเชยด้วยวิธีอื่น นอกจากเพิ่มอำนาจต่อรองผู้เสียเปรียบด้วยวิธีการทางการเมือง ด้วยเหตุดังนี้เวทีประชาธิปไตยจึงขาดไม่ ได้สำหรับคนเล็กคนน้อย เพราะนั่นเป็นพื้นที่เพียงแห่งเดียวในการแสดงตัวตน สามารถสร้างทางเลือก ในระดับนโยบายและสามารถอาศัยสิทธิพลเมืองสนับสนุนผู้แทนทางการเมืองที่ขานรับความต้องการ ของพวกเขา อันที่จริงความเคลื่อนไหวดังกล่าวเท่า กับช่วยชุบชีวิตให้ระบบรัฐสภาไทย ซึ่งก่อนหน้านี้มักถูกออกแบบให้อ่อนแอต่อเนื่องเพื่อให้สอดคล้อง กับอำนาจการนำของชนชั้นนำที่มาจากภาคราชการ ในอีกด้านความเคลื่อนไหวในรูปขบวนการชนชั้นกลางใหม่ต่างจังหวัด ก็กดดันให้พรรคการเมืองที่เคย จำกัดตัวในกลุ่มผลประโยชน์แคบๆ เดินแนวทางมวลชนมากขึ้นแม้จะยังไม่ใช่พรรคมวลชนในความหมายที่เต็มรูป แต่ปรากฏการณ์เช่นนี้นับเป็นพัฒนาการสำคัญของประชาธิปไตย...
"...ความตื่นตัวของชนชั้นกลางใหม่ในชนบทนั้นแม้จะสำคัญมากสำหรับการขยายตัวของประชาธิปไตยแต่ก็ไม่เพียงพอจะขับดันประชาธิปไตยไป สู่ขั้นตอนใหม่ หากไม่มีปรากฏการณ์อีกอย่างเกิดขึ้น ในเวลาที่ประจวบเหมาะกันคือ การเกิดขึ้นของกลุ่ม ทุนใหม่ที่เติบใหญ่อย่างรวดเร็วในยุคโลกาภิวัตน์ กลุ่ม ทุนใหม่นี้ก็มีปัญหาคล้ายชนชั้นกลางใหม่ในต่างจังหวัดที่คิดว่าตนเองต้องการพื้นที่ทางการเมืองที่ควรได้รับและหนทางที่พวกเขาจะเข้าไปแทนที่ชนชั้น นำเก่าในศูนย์อำนาจก็ต้องอาศัยเวทีประชาธิปไตยด้วย เมื่อสภาพเป็นเช่นนี้ จุดหมายของ 2 ฝ่ายจึงมาบรรจบกัน และกำลังทางสังคมของทั้ง 2 ส่วนที่ โดยพื้นฐานแล้วต่างกันก็ได้กลายมาเป็นหุ้นส่วนทางการเมืองที่เหลือเชื่อในกระบวนการเลือกตั้งและจัดตั้งรัฐบาล กล่าวคือ ฝ่ายหนึ่งได้ขึ้นคุมอำนาจและ จัดการระบบเศรษฐกิจโดยรวม ขณะที่อีกฝ่ายหนึ่งได้รับนโยบายที่ตอบสนองปัญหาของตน ไม่ว่าการกำหนดราคาผลผลิตการเกษตร การเข้าถึงเงินทุน การแก้ไขปัญหาหนี้สิน การเข้าถึงสวัสดิการฯ...
"...การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองย่อมก่อให้เกิดสถานการณ์ที่มีผู้ได้และเสียประโยชน์ ดังนั้นภายในเวลาไม่กี่ปีหลัง 2540 สถานการณ์ได้บ่มเพาะความขัดแย้งอย่างคาดไม่ถึงและในที่สุดก็นำไปสู่รัฐประหาร 2549 นับเป็นการล้มรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งด้วยวิธีการนอกระบบ และไม่ว่าข้ออ้างเหตุผลจะเขียนไว้เช่นใด เจตจำนงสูงสุดได้ปรากฏในภายหลังว่า มันคือความพยายามพาประเทศไทยกลับไปสู่ระบบรัฐสภาก่อน 2540 ซึ่งมีองค์ประกอบของอำนาจนิยมผสมบางส่วน และมีข้อกำหนดหลายอย่างที่สกัดการเติบโตของนักการเมืองและพรรคการเมือง...
"...ความผิดพลาดใหญ่หลวงของรัฐประหาร 2549 มิได้เป็นเรื่องของหลักการเท่านั้น หากยังเป็นเรื่องการประเมินกำลังของคู่ต่อสู้ด้วย พวกเขามองข้ามการมีอยู่ของมวลชนมหาศาลที่ประกอบเป็นชนชั้นกลางใหม่ในต่างจังหวัดและชนชั้นกลางค่อนไปทางล่างในเมือง มองไม่เห็นการมีอยู่ของปัญญาชน และชนชั้นกลางเก่าบางส่วนที่ผูกพันและหวงแหนระบอบประชาธิปไตย มองไม่เห็นศักยภาพของการตอบโต้ของชนชั้นนำใหม่ที่โตมากับทุนนิยมโลกาภิวัตน์ เรื่องจึงไม่จบลงง่ายๆ หลังการประกาศใช้รัฐธรรมนูญ 50 ความขัดแย้งที่ตามมากลับยิ่งรุนแรงและซับซ้อนเป็นอย่างยิ่ง ความขัดแย้งเรื่องประชาธิปไตยได้ลุกลามสู่ระดับมวลชนและหมิ่นเหม่ต่อการก่อรูปเป็นสงครามกลางเมือง...
"...ผมมีข้อเสนอสองสามข้อที่อยากนำมาแลกเปลี่ยนด้วยมิตรภาพและความหวังดี ในเมื่อพวกท่านให้เกียรติเชิญผมมาพูด ผมก็จะพูดความในใจอย่างตรงไปตรงมา
1.ในทรรศนะของผม การต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยนั้นเป็นการต่อสู้เพื่อระบอบการเมือง ไม่ใช่เพื่อรัฐบาลใดรัฐบาลหนึ่งหรือพรรคการเมืองใดโดย เฉพาะ ดังนั้น พลังประชาธิปไตยจึงไม่สามารถจำกัดตัวเองอยู่แค่พิทักษ์รักษารัฐบาลหรือนักการเมืองที่ตัวเองพอใจเท่านั้น ยกเว้นกรณีที่สถานการณ์บีบคั้นให้การรักษารัฐบาลที่มาจากฉันทานุมัติ ของประชาชนเป็นเรื่องเดียวกับความอยู่รอดของระบอบประชาธิปไตย...
2.ที่สำคัญไม่แพ้กันคือ เนื่องจากประชาธิปไตยไทยยังไม่เสถียร การขยายฐานทางสังคมของประชาธิปไตยจึงต้องทำต่อเนื่อง ด้วยเหตุผลทั้งด้าน หลักการและวิธีการขบวนประชาธิปไตยไม่อาจอาศัยกำลังของขนชั้นเดียวมากำหนดเส้นทางเดินของบ้านเมือง แม้ว่าชนชั้นดังกล่าวมีจำนวนมากพอ ที่จะคุมสนามการเลือกตั้ง หากต้องพูดถึงเสถียรภาพของระบอบหรือของประเทศแล้วฐานทางสังคมแค่นี้ยังไม่เพียงพอ พูดอีกแบบคือว่า ผู้รักประชาธิปไตยต้องขยายแนวร่วมทางการเมืองออก ไปให้ครอบคลุมอีกหลายชนชั้น ทำให้คนหลายหมู่เหล่าที่สุดมองเห็นและยอมรับว่าพื้นที่ประชาธิปไตยเป็นของเขาด้วย...
3.ถ้าเรายอมรับว่าการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยเป็นงานสร้างระบอบ การขยายพลังประชาธิปไตยหมายถึงการเปิดพื้นที่ให้ประชาชนทุกหมู่เหล่า เราคงต้องยอมรับว่าบรรยากาศที่ห้อมล้อมระบอบการเมืองเป็นอื่นไม่ได้ นอกจากบรรยากาศเสรีนิยม อันที่จริงเสรีนิยมและประชาธิปไตยไม่ใช่สิ่งเดียวกันในทางปรัชญาแต่ต้องอาศัยซึ่งกันและกันจึงจะเกิดผลดี เสรีภาพเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับสังคมที่มีความหลากหลายทางความคิด แต่เสรี นิยมอย่างเดียวก็ไม่อาจรวมพลังผู้คนหรือยึดโยง สังคมไว้ได้
"...กล่าวโดยสรุป ประชาธิปไตยเป็นแนว คิดที่ทั้งปลดปล่อยและรวมพลังไปพร้อมๆ กัน ด้วยเหตุนี้จุดหมายและวิธีการของประชาธิปไตยจึงแยกออกจากกันไม่ได้ ประชาชนต้องมีส่วนร่วมในการเคลื่อนไหวจึงจะเข้าถึงจุดหมายของเสรีภาพ ความเสมอภาคและความเป็น ธรรม สังคมประชาธิปไตยไม่ใช่สังคมตัวใคร ตัวมัน แต่คือสังคมที่เสรีภาพของบุคคลถูกเชื่อม ร้อยด้วยพันธกิจที่มีต่อส่วนรวม"
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
The Associated Press
ภาษีบุหรี่ ค้างคา "แช่แข็ง" ไม่เดินหน้...
...
อะไรคือ ? โจทย์ใหญ่ กระทรวงการคลัง ที่มา...
...
ttb analytics มองเงินบาทยังมีแนวโน้มแข็ง...
...
มาตรการ MPOWER เสาหลักกฎหมายควบคุมผลิตภั...
...
“ทักษิณ” พ่อมดการเมือง????...
...
บริษัท สมาร์ท โกลด์ มีเดีย กรุ๊ป จำกัด SMART GOLD MEDIA GROUP CO.,LTD. ติดต่อสอบถาม โทร : 0893284192 , ID Line : @siamturakij และ ฝ่ายโฆษณา siamturakijadvertising@gmail.com
© 2013 สยามธุรกิจ
×
เว็บไซต์ “สยามธุรกิจ” ใช้คุกกี้เพื่อให้ท่านได้รับประสบการณ์การใช้งานที่ดียิ่งขึ้น อ่านนโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (Privacy Policy) และ นโยบายคุกกี้ (Cookie Policy)
กดยอมรับ