ภูสิต รัตนกุล เสรีเริงฤทธิ์ อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (DITP) กล่าวว่า จากสถานการณ์โควิด-19 ในช่วงสองปีที่ผ่านมาส่งผลให้พฤติกรรมผู้คนเปลี่ยนแปลงไปจากซื้อสินค้าช่องทางออฟไลน์ เปลี่ยนมาเป็นช่องทางออนไลน์มากขึ้น ซึ่งทำให้ทาง นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกฯ และรมว.พาณิชย์ ให้ความสำคัญกับการค้าออนไลน์มากขึ้น โดยได้มีนโยบายให้กระทรวงพาณิชย์ โดยกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ เร่งทำการตลาดการค้าออนไลน์เป็นกลยุทธ์หลักในการส่งเสริมการส่งออกสินค้าไทยออกสู่ตลาดต่างประเทศ โดยส่งผลให้ยอดการส่งออกในประเทศไทย 11 เดือนแรกของปี 2564 ที่ผ่านมามีมูลค่าสูงถึง 7.7 ล้านล้านบาท มีอัตราการขยายตัว 16.4 % จากการที่ทางกรมส่งเสริมกิจการค้าฯ ได้ทำกิจกรรมการค้าออนไลน์ในหลากหลายรูปแบบในช่วงที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นการเจรจาซื้อขายจากผู้ค้าต่างประเทศ หรือที่เรียกว่า (Online Business Matching) ในการส่งเสริมการซื้อขายผ่าน Thaitrade.com แพลตฟอร์มออนไลน์ของทางกรมฯ ที่สามารถสร้างยอดขายกว่า 2 หมื่นล้านบาทในปีที่ผ่านมา รวมทั้งในการร่วมสนับสนุนให้ผู้ประกอบการไทยสามารถขายสินค้าผ่านแพลตฟอร์มพันธมิตรออนไลน์ชั้นนำของโลกด้วย
ล่าสุด ปีนี้ทาง Thaitrade.com ได้ร่วมกับทาง แพลตฟอร์มยักษ์ Alibaba.com ที่ถือเป็น E-Marketplace สำหรับการซื้อขายในรูปแบบ B2B ที่ใหญ่ที่สุดอีกแห่งหนึ่งของโลก โดยปัจจุบันมีผู้ซื้อมากถึง 34 ล้านราย และใน 9 เดือนแรกของปี 2564 ที่ผ่านมาทางแพลตฟอร์มดังกล่าวสามารถสร้างรายได้กว่า 2 หมื่นสองพันล้านบาท ซึ่งจะเป็นโอกาสดีมากที่ประกอบการไทยจะได้ใช้ประโยชน์และสร้างรายได้กับแพลตฟอร์มดังกล่าว ให้เข้าสู่ตลาดการค้าออนไลน์โลกได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ด้วยการฝึกอบรมออนไลน์ เพื่อเตรียมความพร้อมในการขายด้วยทีมงาน มืออาชีพจากอาลีบาบา โดยการได้องค์ความรู้นี้จะเป็นประโยชน์กับผู้ประกอบการไทยในการเพิ่มโอกาส และการพบปะผู้ซื้อจากต่างประเทศรายใหม่ๆ ซึ่งจะนำไปสู่ลู่ทางการขยายการส่งออกสินค้าไทยได้ในอนาคต
“ผู้ประกอบการ SMEs ถือได้ว่าเป็นกระดูกสันหลังและมีความสำคัญต่อระบบเศรษบกิจของไทย แต่ในปัจจุบันมีผู้ประกอบการไม่ถึง 1% ที่สามารถขายหรือส่งออกสินค้าไปต่างประเทศได้ ขณะที่ประเทศไทยมีชื่อเสียงด้านการท่องเที่ยวและเป็นที่ยอมรับจากทั่วโลก จึงเป็นโอกาสและศักยภาพของไทยในการขยายสินค้าไปยังต่างประเทศ รวมทั้งเป้าหมายของกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ คือทำทุกอย่างเพื่อสนับสนุนผู้ประกอบการ SMEs ของไทยให้สามารถขายสินค้าและแข่งขันได้ในเวทีโลก ดังนั้นการร่วมมือกับทาง Alibaba.com จะเป็นอีกวิธีที่ดีในการช่วยให้ธุรกิจท้องถิ่นขยายฐานลูกค้าไปยังต่างประเทศ และสามารถฟื้นตัวจากสถานการณ์โควิดในช่วงสองปีที่ผ่านมาได้”
ด้าน สตีเฟน คูโอ ผู้อำนวยการ Alibaba.com ประจำเอเชียแปซิฟิก กล่าวว่า "เนื่องจากการค้าโลกเปลี่ยนไปขับเคลื่อนด้วยอีคอมเมิร์ซเพราะโรคระบาด การเปลี่ยนไปทำธุรกิจแบบดิจิทัลจึงไม่ได้เป็นแค่ทางเลือกสำหรับผู้ประกอบการ SMEs บางรายอีกต่อไป แต่กลายเป็นสิ่งที่จำเป็นเพื่อให้แบรนด์ยังคงอยู่ในตลาดได้ ธุรกิจต่าง ๆ ในไทยถือว่าสามารถใช้ประโยชน์จากโอกาสการค้าข้ามพรมแดนจากคนทั่วโลกในการขายสินค้าไทย และเรายึดมั่นที่จะทำให้เส้นทางการค้าทั่วโลกของผู้ประกอบการง่ายขึ้น ด้วยการช่วยปลดล็อกและพาพวกเขาไปหาโอกาสในโลกออนไลน์”
ดังนั้น Alibaba.com แพลตฟอร์ม B2B (Business-to-Business) ชั้นนำเพื่อการค้าระดับโลก เปิดตัว โครงการฟื้นฟูจากภาวะโรคระบาด สู่ความสำเร็จทางเศรษฐกิจของประเทศไทย ซึ่งเป็นการร่วมมือกับ Thaitrade.com และได้รับการสนับสนุนจาก กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (DITP) กระทรวงพาณิชย์ เพื่อช่วยส่งเสริมการค้าข้ามพรมแดนให้แก่ธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ของไทยท่ามกลางโรคระบาดที่เกิดขึ้นทั่วโลก โยโครงการนี้มีเป้าหมายที่จะให้ผู้ประกอบการ SMEs ไทยหลายร้อยคนได้รับทักษะในการทำธุรกิจอีคอมเมิร์ซ B2B ได้โดยตรงภายในสามเดือนข้างหน้า ผู้สนใจเข้าร่วมจะสามารถเข้าอบรมหลักสูตร Alibaba.com Seller Training E-course (ASTE) ของ Alibaba.com ได้ฟรี ซึ่งเป็นหลักสูตรที่ออกแบบมาเพื่อผู้ส่งออกที่เพิ่งเริ่มใช้แพลตฟอร์ม Alibaba.com โดยเป็นหลักสูตรการฝึกอบรมออนไลน์ประมาณครึ่งวันซึ่งมีสี่โมดูลด้วยกัน หัวข้อครอบคลุมตั้งแต่เทรนด์การค้าทั่วโลก ทักษะที่จำเป็นในการทำธุรกิจอีคอมเมิร์ซ รวมไปถึงคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญและผู้ขายออนไลน์ที่มีประสบการณ์
นอกเหนือจากการฝึกอบรมหลักสูตร ASTE ฟรี ซึ่งมีมูลค่า 300 ดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 9,900 บาท) และมักจะเปิดให้เฉพาะสมาชิกแบบชำระเงินของ Alibaba.com แล้วนั้น Alibaba.com ยังมอบสิทธิประโยชน์เพิ่มเติมให้กับผู้ประกอบการ SMEs ที่เข้าร่วมจนจบโครงการ รวมไปถึงส่วนลดในการเป็นสมาชิกและส่วนลดแพ็กเกจการเตรียมความพร้อมของสมาชิกใหม่ อีกทั้งยังมอบเครดิตเงินโฆษณาคีย์เวิร์ดมูลค่าสูงสุด 500 ดอลลาร์สหรัฐ และบัตรกำนัลบริการเสริม (VAS) มูลค่า 600 ดอลลาร์สหรัฐ ฟรี (ประมาณ 16,500 บาท และ 20,000 บาท ตามลำดับ)
