"มหากาพย์จำนำข้าว" ไม่จบแต่เจ็บ!!

วันเสาร์ที่ 02 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556



จากกรณีที่ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล อดีตรองนายกรัฐมนตรีได้ออกมากล่าวถึง โครงการรับจำนำข้าวภายในงาน "รำลึก 100 ปี ชาตกาล อ.ป๋วย อึ๊งภากรณ์" ขึ้นที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยว่ าสร้างความเสียหายให้กับประเทศอย่างมหาศาล ในฐานะคนไทยคนหนึ่งที่ได้ติดตาม ความคืบหน้าของโครงการรับจำนำข้าวด้วยความวิตกว่าจะเกิดผลสูญเสียต่องบประมาณของประเทศชาติเป็นจำนวน มาก และจะมีการคอร์รัปชั่นเกิดขึ้นมาก มาย พร้อมดำเนินการจดหมายเปิดผนึก ถึง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เพื่อขอให้ทบทวนนโยบายการรับจำนำข้าวอย่างจริงจัง และหันมาใช้วิธีการจ่าย ผลประโยชน์ส่วนเพิ่มให้ชาวนาโดยตรง กำหนดยอดสูงสุดต่อครัวเรือน และตั้งเกณฑ์ให้กระจายไปถึงครัวเรือนที่มีฐานะยากจนเพิ่มขึ้นด้วย

เกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวทาง ดร.นิพนธ์ พัวพงศกร และ คุณกำพล ปั้นตะกั่ว จากทีดีอาร์ไอ ได้มีการนำเสนอผลคำนวณการ ขาดทุนของโครงการรับจำนำข้าวในงานสัมมนาเรื่องมหากาพย์จำนำข้าว สู่มหกรรม กอบกู้สุจริตฯ ว่ารัฐบาลจะขาดทุนอย่างน้อย ปีละ 2 แสนล้านบาท รัฐมนตรีหลายท่านต่างออกมาปฏิเสธว่า โครงการรับจำนำไม่ได้ขาดทุนมากขนาดนั้น รัฐมนตรีพาณิชย์ นายนิวัติธำรง บุญทรงไพศาล ให้สัมภาษณ์ ว่า การขาดทุนแบบสมเหตุสมผลจะอยู่ที่ประมาณ 1 แสนล้านบาทต่อปี ส่วนรัฐมนตรี ช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ นายยรรยง พวงราช ให้สัมภาษณ์ว่า "ถ้าคิดอย่างโง่สุด ยอมขายราคาครึ่งเดียวของราคารับจำนำ ก็ยังขาดทุนไม่ถึง 2 แสนล้านบาท.... และที่ระบุว่ามีเงินรั่วไหล เงินถึงชาวนาเพียง 210,000 ล้านบาทนั้น ก็ไม่เป็นความจริง เพราะจ่ายโดยตรงเข้าบัญชีชาวนา"

ยิ่งกว่านั้นรัฐมนตรีกระทรวงการคลังให้สัมภาษณ์ว่า "การขาดทุน 4.25 แสน ล้านนั้น มองว่าเป็นการเข้าใจผิดของหม่อม อุ๋ย ยอมรับว่านักเศรษฐศาสตร์หลายท่านไม่ได้เรียนบัญชี อาจเข้าใจคลาดเคลื่อน เกี่ยวกับการขาดทุนทางบัญชีและการขาดทุนจริงของโครงการ เมื่อนำข้อมูลออกมาเปิดเผย อาจทำให้ประชาชนเข้าใจผิดได้"

บทความฉบับนี้ต้องการทำความกระจ่าง ให้ประชาชนมีความเข้าใจที่ถูกต้อง เกี่ยวกับมูลค่าการขาดทุนของโครงการรับจำนำข้าว และประโยชน์ "ส่วนเพิ่ม" ที่ชาวนาได้รับจากการขายข้าวให้รัฐบาล บทความจะตอบคำถาม 3 ข้อ คำถามแรก คือ ทำไมตัวเลขการขาดทุนของรัฐบาลจึงแตกต่างจากตัวเลขการขาดทุนของ ม.ร.ว.ปรีดิยาธร คำถามที่สอง คือ วิธีการ คำนวณการขาดทุนทางบัญชีของโครงการ จำนำข้าวควรยึดหลักการคำนวณอะไร คำ ถามที่สาม การขาดทุนจริงของโครงการจำนำข้าว "จะ" เป็นเท่าไหร่กันแน่

คำถามแรกเรื่องมูลค่าการขาดทุนที่ทั้งสองฝ่ายนำเสนอนั้น ต่างเป็นตัวเลขผลขาดทุน "ทางบัญชี" ทั้งสิ้น แต่สาเหตุที่ตัวเลขผลขาดทุนทางบัญชีของทั้ง 2 ฝ่ายแตกต่างกัน เป็นเพราะฝ่ายรัฐบาลตีมูลค่าของข้าวในสต็อกด้วยต้นทุนข้าวที่ซื้อมาในราคาข้าวเปลือกตันละ 15,000 บาท หรือคิดเป็นข้าวสารตันละ 24,000 บาท ส่วน ม.ร.ว.ปรีดิยาธร ซึ่งอ้างอิงข้อมูลของคณะอนุกรรม การปิดบัญชีโครงการจำนำข้าวใช้วิธีตีมูลค่าข้าวในสต็อกด้วยราคาตลาด

คำถามที่สอง คือ โครงการจำนำข้าว ควรยึดหลักการคำนวณวิธีใด หากย้อนกลับไปดูตำราวิชาการบัญชีว่าด้วยการตีมูลค่าสินค้าคงคลัง (inventory valuation methods) จะมีหลักการตีราคา 2 รูปแบบ คือ (1) คำนวณด้วยต้นทุนของสินค้า หรือ (2) คำนวณด้วยราคาตลาดในการจัดหาสินค้านั้นมาทดแทน ทั้ง 2 วิธีต่างก็เป็นวิธี การที่ได้ยอมรับให้ใช้และมีสอนกันในวิชาการบัญชีทั่วไป

ฝั่งรัฐบาลโดยกระทรวงพาณิชย์ เลือกที่จะใช้วิธีการแรกในการตีมูลค่าข้าวที่เหลืออยู่ในคลังด้วยราคาต้นทุนที่ซื้อข้าว มา ผลการขาดทุนทางบัญชีจึงมีประมาณ 1 แสนล้านบาท แต่คณะอนุกรรมการปิดบัญชีฯ และม.ร.ว.ปรีดิยาธร เลือกที่จะใช้วิธีการที่เรียกว่า LCM หรือราคาตลาดเป็น ตัวกำหนดมูลค่าของข้าวที่เหลืออยู่ในคลัง ผลขาดทุนจึงสูงกว่าประเด็นจึงมีอยู่ว่าในกรณีการจำนำข้าวรัฐบาลควรใช้วิธีทางบัญชีวิธีใดจึงจะเหมาะสม

ในวงการธุรกิจที่สินค้าคงคลังมีราคา เปลี่ยนแปลงรวดเร็ว นักบัญชีทราบดีว่าหลักวิชาการทางบัญชีที่นิยมใช้กันคือการตีราคาสินค้าคงคลังด้วยราคาตลาด เพราะ ว่าการตีราคาสินค้าคงคลังด้วยต้นทุนสินค้า ที่ได้มาจะไม่สามารถแสดงมูลค่าที่แท้จริงของสินค้า โดยเฉพาะในกรณีที่ราคาตลาด ของสินค้านั้นๆ ตกต่ำลงกว่าราคาต้นทุนที่ซื้อมาอย่างรวดเร็ว การใช้ราคาต้นทุนจะก่อให้เกิดการบิดเบือนสถานะทางบัญชี ขัด กับวัตถุประสงค์ของวิชาบัญชีที่มุ่งเน้นให้ผู้บริหารและผู้ถือหุ้นรับทราบสภาพการดำเนินงานทางธุรกิจที่แท้จริงเพื่อให้การตัดสินใจบริหารองค์กรเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ในกรณีการจำนำข้าว รัฐบาล ซึ่งเป็นผู้บริหารของประเทศจำเป็นต้องรับ ทราบสถานการณ์รายได้-รายจ่ายที่เป็นจริง ให้มากที่สุด หากตัวเลขระบุว่าจะมีโอกาสขาดทุนมาก รัฐบาลก็จะได้เตรียมรับมือกับความเสี่ยงทางการคลัง ไม่ใช่ปล่อยให้ไฟไหม้บ้าน แล้วค่อยคิดซื้อประกันไฟที่หลัง

นี่คือเหตุผลที่คณะอนุกรรมการปิดบัญชีโครงการจำนำข้าว ที่แต่งตั้งโดยคณะ กรรมการนโยบายข้าว เลือกใช้วิธีการ LCM โดยตีมูลค่าสต็อกข้าวด้วยราคาตลาด เพื่อ สะท้อนฐานะที่แท้จริงของโครงการจำนำข้าว แม้ในตอนต้นรัฐบาลจะไม่ยอมรับตัวเลขขาดทุนของคณะอนุกรรมการปิดบัญชีฯจนกลายเป็นข่าวใหญ่โตมาแล้ว แต่ ท้ายที่สุดก็ยอมรับว่าการจำนำข้าว 2 ฤดูแรก (นาปี 2554/55 และนาปรัง 2555) ขาด ทุนถึง 136,896 ล้านบาท มาวันนี้ราคาข้าวในตลาดลดลงไปมากจากวันที่ปิดบัญชี การขาดทุนก็ย่อมมากขึ้นเพราะรัฐบาลขายข้าวได้น้อยมาก

อนึ่ง กระทรวงพาณิชย์เป็นหน่วยงานที่มีหน้าที่กำกับดูแลการทำบัญชีของธุรกิจเอกชนทั่วประเทศ และทราบดีถึงหลักบัญชีที่ถูกต้อง หรือแม้แต่องค์การคลังสินค้าที่อยู่ภายใต้การกำกับของกระทรวงพาณิชย์เองยังเลือกตีราคามูลค่าสต็อกข้าวในโครงการจำนำข้าวด้วยราคาตลาด บริษัทในตลาดหลักทรัพย์ที่กระทรวงการคลังดูแลก็มีบัญชีแบบ mark to the market แต่รัฐบาลกลับปล่อย ให้กระทรวงพาณิชย์ทำบัญชีอีกแบบหนึ่ง

การที่รัฐบาลเลือกใช้วิธีตีมูลค่าข้าวด้วยต้นทุนการซื้อข้าว จึง เป็นการหลอกลวงตนเองและประชาชน ว่าจะมีภาระทางการคลังในอนาคตน้อยกว่าที่ควรจะเป็น

คำถามที่สาม การจำนำ จะขาดทุนจริงเท่าไหร่ ณ วันนี้ ยังไม่มีใครให้คำตอบได้ชัดเจน เพราะรัฐบาลปิดบังข้อมูลการขายข้าวทั้งๆ ที่การปกปิดดังกล่าวผิดกฎหมายข้อมูลข่าวสารทางราชการที่กำหนดให้หน่วยงานรัฐต้องเปิดเผยข้อมูลของทางราชการ (ยกเว้นข้อมูลบางประภท) แม้รัฐบาลจะมีการเปิดเผยตัวเลขเงินรายได้จากการขายข้าว แต่ก็ไม่ยอมบอกว่าขายข้าวไปจำนวนเท่าไร เพราะ ขืนเปิดเผย ประชาชนก็จะรู้ว่ารัฐบาลขายข้าวขาดทุนหนักกว่าที่รัฐบาลพูด และอาจหนักกว่าที่นักวิชาการประมาณการไว้ เพราะรัฐบาลขายข้าวต่ำกว่าราคาตลาดมาก ทำให้เกิดปัญหาการเมืองตามมา

หลักฐานที่บ่งชี้ว่ารัฐบาลจะขาดทุนหนักมากเพราะขายข้าวในราคาต่ำกว่าราคาตลาดมาจากรายงานการปิดบัญชีของ กระทรวงพาณิชย์ที่รมว.วราเทพนำเสนอต่อคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ ผู้เขียนพบว่าราคาข้าวที่ขายต่ำกว่าราคาตลาด คือราคาข้าวนาปี 2554/55 ที่ขายเฉลี่ย 14,435.71 บาทต่อตัน ต่ำกว่าราคาขายส่งข้าวสารในตลาดกรุงเทพฯในเวลาเดียวกันที่เฉลี่ย 19,635 บาทต่อตัน เนื่องจากมีต้นทุนค่าซื้อข้าวและต้นทุนดำเนินการ 29,605.52 บาทต่อตันข้าวสาร จึงขาดทุนจริงตันละ 15,169.31 บาท และสำหรับข้าวนาปรังปี 2555 พาณิชย์ขายเฉลี่ยเพียง 12,839.45 บาทต่อตัน เทียบกับราคาตลาด 17,266 บาทต่อตัน และขาดทุนตันละ 11,781.61 บาท ถ้าคิด เฉพาะข้าวที่ขายไปจริงจำนวน 3.62 ล้านตันข้าวสารในสองฤดู มูลค่าการขาดทุนจริงคือ 49,561.10 ล้านบาท (ณ 31 มกราคม 2556) ผู้เขียนประมาณการว่าเฉพาะการขายข้าวราคาต่ำให้พ่อค้าบางรายที่เป็นพรรคพวกทำให้โครงการรับจำนำข้าวขาดทุน เพิ่มขึ้นอีก 30% ของภาระขาดทุนทั้งหมด... นี่แหละคือเหตุผลแท้จริงที่รัฐบาลต้องปกปิดข้อมูลการข่ายข้าว ผู้เขียนเชื่อว่าเมื่อ ความจริงถูกเปิดเผยเมื่อไร บรรดาข้าราชการ ที่มีส่วนในการขายข้าวและปกปิดข้อมูลเพื่อหวังลาภยศ มีหวังติดคุกกันหัวโต

บทความนี้ไม่ได้หวัง และคิดว่าคงไม่มีความหวังที่จะให้รัฐมนตรีบางคนเข้าใจ และยึดหลักบัญชีที่ถูกต้อง แต่หวังว่าประชาชนจะมีความเข้าใจที่ถูกต้อง และเลือกคนที่พูดความจริงมาบริหารประเทศ


บริษัท สมาร์ท โกลด์ มีเดีย กรุ๊ป จำกัด SMART GOLD MEDIA GROUP CO.,LTD. ติดต่อสอบถาม โทร : 0893284192 , ID Line : @siamturakij และ ฝ่ายโฆษณา siamturakijadvertising@gmail.com
© 2013 สยามธุรกิจ