เมื่อ 2 ยักษ์ใหญ่แห่งวงการอาหารและเครื่องดื่มของประเทศไทย อย่าง “บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน)” และ “บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน)” ตัดสินใจมาร่วมมือครั้งสำคัญในการดำเนินธุรกิจด้วยทุนจดทะเบียนราว 100 ล้านบาท ก่อตั้ง “บริษัท ฟู้ด แอนด์ เบฟเวอเรจ ยูไนเต็ด จำกัด” ขึ้น เพื่อรุกตลาดสุขภาพโดยเฉพาะ ล่าสุดหลังจากการร่วมทุนครั้งนี้ ได้นำร่องประเดิม เปิดตัวผลิตภัณฑ์แรก “ซี ทูน่าเอสเซนส์ (ZEA Tuna Essence) ซุปปลาทูน่าสกัดเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพรูปแบบใหม่แบรนด์แรกของโลก รุกทำตลาดในเซกเมนต์ตลาดเครื่องดื่มสกัดเสริมสุขภาพซึ่งปัจจุบันมีมูลค่ากว่า 10,000 ล้านบาท
นายธารินทร์ รินธนาเลิศ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ฟู้ด แอนด์ เบฟเวอเรจ ยูไนเต็ด จำกัด กล่าวว่า การผนึกความร่วมมือกันในครั้งนี้ โดยบริษัทร่วมทุนนี้มีทุนจดทะเบียน 100 ล้านบาท ไทยเบฟถือหุ้นในสัดส่วน 51% และไทยยูเนี่ยนถือหุ้นในสัดส่วน 49% ในการร่วมกันนำประสบการณ์และความเชี่ยวชาญของทั้งสองบริษัทมาร่วมสร้างสรรค์นวัตกรรมและยกระดับการพัฒนาผลิตภัณฑ์ตอบเทรนด์ Health & Wellness ของผู้บริโภคคนรุ่นใหม่ ในการผลิตผลิตภัณฑ์ที่จะออกมาภายใต้บริษัท ฟู้ด แอนด์ เบฟเวอเรจ ยูไนเต็ด จำกัด เพื่อเป็นการตอกย้ำการเป็นผู้นำธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มครบวงจรของภูมิภาคอาเซียนของไทยเบฟเวอเรจ และการเป็นผู้ผลิตอาหารทะเลชั้นนำของโลกของไทยยูเนี่ยน ที่ร่วมกันสร้างสรรค์นวัตกรรมเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ ล่าสุด จึงได้เปิดตัว ซี ทูน่าเอสเซนส์ ซุปปลาทูน่าสกัดเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพครั้งแรกของนวัตกรรมซุปปลาทูน่าสกัด ซึ่งเป็นปลาทะเลน้ำลึกตามธรรมชาติที่เป็นแหล่งโปรตีนชั้นเยี่ยม ที่มีคุณประโยชน์สารอาหารมากมาย
โดยออกมาวางจำหน่ายสู่ตลาดในช่วงต้นเดือนธันวาคมที่ผ่านมา และจะเริ่มกระจายสินค้าในครอบคลุมทั่วประเทศมากขึ้นภายในสินปีนี้โดยใช้บริษัท โมเดิร์นเทรด เมเนจเมนท์ ในเครือไทยเบฟทำหน้าที่จำหน่ายสินค้าไปยังช่องทางโมเดิร์นเทรด เช่น บิ๊กซี ร้านสะดวกซื้ออย่างเซเว่นอีเลฟเว่น ก่อนจะขยายสู่ช่องทางอื่นในปีถัดไป อีกทั้ง บริษัทได้เตรียมงบกว่า 100 ล้านบาท ตั้งเป้าสร้างการรับรู้และให้เกิดการทดลองผลิตภัณฑ์ผ่านภาพยนตร์โฆษณาชุด “โลกเปลี่ยนไปแล้ว” ที่ได้อาเล็ก ธีรเดช เมธาวรายุทธ มาเป็นพรีเซนเตอร์ พร้อมกับจัดเต็มด้วยกิจกรรม ให้ผู้บริโภคทั่วประเทศได้ทดลองดื่มมากกว่า 300,000 คนตลอดทั้งปี ต่อยอดเน้นทำสื่อออนไลน์เป็นหลัก และสื่ออื่นๆ ร่วมด้วยเพื่อสร้างการรู้จักสินค้าให้ถึงกลุ่มเป้าหมายมากกว่า 15 ล้านคน ทั่วประเทศ ซึ่งคาดว่าน่าจะต้องใช้เวลา3-5 ปีในการบูสต์เซกเมนต์ ซุปปลาสกัดให้เกิดขึ้น”
สำหรับภาพรวมตลาดเครื่องดื่มสกัดเพื่อสุขภาพมีมูลค่าราว 10,000 ล้านบาท ก่อนโควิดระบาดการเติบโตเฉลี่ย 5% ประกอบด้วยเครื่องดื่มซุปไก่สกัด เครื่องดื่ม รังนก เครื่องดื่มผลไม้สกัดเข้มข้น และเครื่องดื่มฟังก์ชันนัลอื่นๆ ซึ่งมีการเติบโตอย่างต่อเนื่องมาโดยตลอด แต่ชะงักไปในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 โดยบริษัทเห็นว่ายังมีโอกาสมาก เนื่องจาก penetration rate ของตลาดนี้ยังคงต่ำอยู่ เพียง 10% เท่านั้น เราจึงมองว่าตลาดนี้ยังมีโอกาสอยู่มาก โดยหลังจากที่เราลงมาทำตลาดนี้ในเซ็กเมนต์ใหม่นี้ บริษัทตั้งเป้าว่าภายใน 3-5 ปี “ซี ทูน่า เอสเซนส์” จะต้องการมีส่วนแบ่งตลาดในตัวเลข 2 หลัก ได้อย่างแน่นอน
ด้าน ดร.ธัญญวัฒน์ เกษมสุวรรณ กรรมการบริษัท ฟู้ด แอนด์ เบฟเวอเรจ ยูไนเต็ด และผู้อำนวยการกลุ่มด้านนวัตกรรม บริษัท ไทยยูเนี่ยนกรุ๊ป จำกัด กล่าวว่า ทั้ง 2 บริษัทได้นำประสบการณ์และ Know-how กระบวนการผลิตระดับโลก มาสร้างสรรค์เป็น ซี ทูน่าเอสเซนส์ ที่สกัดเอาคุณประโยชน์เต็มๆ ด้วยเทคโนโลยี นาโนฟิลเทรชั่น ที่กรองและย่อยโมเลกุลของโปรตีนให้มีขนาดเล็กลง ดูดซึมได้ง่าย และยังผ่านการทดสอบคุณภาพและคุณค่าสารอาหาร จาก Japan Food Research Laboratories ซึ่งเป็นสถาบันวิจัยอาหารชั้นนำ ระดับโลก ณ ประเทศญี่ปุ่น จึงมั่นใจในคุณภาพได้ทุกขวด โดยในส่วนของโรงงาน เป็นการลงทุนสร้าง ไลน์การผลิตใหม่ ด้วยงบประมาณกว่า 100 ล้านบาท ที่โรงงานโออิชิ นวนคร ในการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์จากการวิจัยและพัฒนาของเราให้คนไทยได้บริโภค มั่นใจว่าด้วยคุณประโยชน์ที่ได้จากซุปปลาทูน่าสกัด และรสชาติที่ดื่มง่ายของ ซี ทูน่าเอสเซนส์ จะเป็นตัวเลือกเครื่องดื่มเสริมสุขภาพที่โดนใจคนไทยแน่นอน