Toggle navigation
วันเสาร์ ที่ 21 มิถุนายน 2568
หน้าแรก
ข่าวสาร
วิเคราะห์-บทความ-ต่างประเทศ
ประกัน
ยานยนต์
การเงิน-ธนาคาร
หุ้น-กองทุนรวม
อสังหาริมทรัพย์
พลังงาน-คมนาคม-โลจิสติกส์
อุตสาหกรรม-เออีซี-เอสเอมอี
ไอที
การศึกษา-กทม
การตลาด-ซีเอสอาร์
เกษตรยุคใหม่-ภูมิภาค
บันเทิง
ขายตรง
ประชาสัมพันธ์
PR NEWS -ข่าวประชาสัมพันธ์
ไลฟ์สไตล์
ท่องเที่ยว
แฟชั่นโซไซตี้-ดูดวง
ช๊อป-ชิม-ชิล
สุขภาพ-ความงาม
วิดีโอ-คลิปข่าว
E-Book
นสพ. สยามธุรกิจ
ติดต่อเรา
สามารถส่งข้อมูล ข่าวสาร ทางอีเมลล์ : siamturakijonlinenews@gmail.com และ สำหรับฝ่ายโฆษณา ทางอีเมลล์ : siamturakijadvertising@gmail.com
หน้าแรก
วิเคราะห์-บทความ-คอลัมน์
ประเมิน 3 แนวทางรับผลประชานิยม
ประเมิน 3 แนวทางรับผลประชานิยม
วันพุธที่ 06 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556
Tweet
การเมืองไทยในช่วงทศวรรษที่ผ่านมาแทบไม่สามารถแยกแยะออกจากประชานิยมได้จากนโยบายก้าวเข้าสู่ระบบแผนการตลาดเชิงการเมือง ซื้อใจชนชั้นกลางไม่จนถึงรากหญ้า
แน่นอนว่ารูปแบบนี้ไม่ได้หาได้ถูกจำกัดอยู่กับเฉพาะฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด หากแต่เป็นที่นิยมหยิบยกขึ้นมาใช้กันอย่างทั่วหน้า ไม่ว่าใครจะเป็นรัฐบาลก็ตามเพราะเป็นสิ่งที่เห็นผลได้จริงโดยต่างฝ่ายไม่ได้คำนึงถึงผลเสียในระยะยาว ไม่ใช่ไม่รู้ แต่ของแบบนี้ถ้าไม่ทำก็ไฟต์กันยากจนสุดท้ายผลที่ออกมาก็ไม่ได้เหนือความคาดหมาย คนไทยเสพติดประชานิยม!!..เหมือนที่หลายๆ ประเทศเคยประสบปัญหาแบบนี้กันมาแล้ว จนถึงขั้นเสียวินัยทางการคลังสุดท้ายระบบเศรษฐกิจก็ล่มสลาย
"ดร. วิรไท สันติประภพ" ที่ปรึกษาสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) ได้ให้ความรู้ในเรื่องนี้โดยสะท้อนมุมมองและเสนอ 3 แนวคิดเพื่อไม่ให้ประเทศไทยต้องล่มจมในอนาคต
เนื่องจากประเทศไทยให้ความสำคัญ ระบบประชาธิปไตย ไปที่การเลือกตั้ง "ประชานิยม" จึงเป็นนโยบายที่มุ่งตอบโจทย์เรื่องสวัสดิการพื้นฐานของประชาชน และการดำรงชีวิตขั้นพื้นฐานของประชาชน เช่น นโยบาย 30 บาทรักษาทุกโรค การเรียนฟรี การเข้าถึงสินเชื่อของชุมชน ในระดับรากหญ้า ฯลฯ มาเป็นนโยบายที่มี ลักษณะ "สัญญาว่าจะให้" และเห็นผลในช่วงสั้นๆ เพื่อจะได้ชนะการเลือกตั้ง และเป็นนโยบายที่มีวิธีคิดในเรื่องการตลาดนำ มากกว่าที่จะตอบโจทย์สวัสดิการขั้นพื้นฐาน
สิ่งที่ตามมาจากความไม่ระมัดระวังในเรื่องนี้คือ การเกิดภาระงบประมาณ จาก การบริโภคที่เกินพอดี รวมถึงผลข้างเคียง ทางเศรษฐศาสตร์ได้ในหลายๆ เรื่อง เช่น นโยบายรถคันแรก การให้สิทธิประโยชน์ทางภาษี เกิดผลตามมามากมายทั้งในด้าน หนี้ครัวเรือน การใช้น้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้น ปัญหา รถติด และไม่สอดคล้องกับแนวทางนโยบายที่เราจะส่งเสริมการใช้บริการระบบขนส่งสาธารณะ เพื่อทำให้ประเทศไทยเป็นประเทศที่พึ่งพิงพลังงานน้อยลง
"นโยบายหลายอย่างที่เป็นนโยบายปลายเปิด เป็นเรื่องที่สร้างภาระ และหยุดไม่ค่อยได้ นักการเมืองจะมาให้เลิกนโยบายเหล่านี้ต้องใช้เวลาและความกล้าหาญค่อนข้างมากเพราะจะกระทบกับฐานเสียง"
ภาครัฐมีความจำเป็นต้องสร้างความ บิดเบือนให้กับกลไกตลาด ซึ่งสิ่งเหล่านี้ทำลายความสามารถในการแข่งขันของภาคเอกชนในระยะยาว ตัวอย่างที่เห็นชัดคือ นโยบายจำนำข้าวที่กระทบความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมข้าวไทยทั้งระบบ นโยบายค่าแรงขั้นต่ำเท่ากันทั่วประเทศ กระทบความสามารถของธุรกิจในภาคเอกชนในต่างจังหวัดค่อนข้างมาก เป็นตัน เป็นการเอาเงินหรือทรัพยากรของภาคเอกชนไปใช้ตอบโจทย์การเมือง ซึ่งเรื่องเหล่านี้จะเป็นเรื่องที่ส่งผลกระทบกับการแข่งขันของภาคเอกชนในระยะยาว
เมื่อมีการใช้นโยบายประชานิยมเพิ่ม ขึ้นเรื่อยๆ รายจ่ายของรัฐก็จะโตขึ้น หนีไม่พ้นว่ารัฐบาลจะต้องไปดำเนินการจัดภาษีเพิ่มสูงขึ้นในระยะยาวเพื่อให้ทันกับรายจ่ายที่เพิ่มขึ้น
แม้ทางออกจากกับดักนโยบายประชานิยมที่ดีที่สุดคือ ทำให้ประชาชนเลิกนิยมนโยบายที่ไร้ความรับผิดชอบ ทำให้ประชาชนตระหนักถึงผลเสียที่เกิดขึ้นต่อเศรษฐกิจไทยในระยะยาวและทำให้เห็นถึงค่าเสียโอกาสของประเทศและของประชาชนเอง แต่การสร้างความเข้าใจให้แก่ประชาชนเป็น เรื่องยากและใช้เวลานาน และประเทศไทย คงไม่สามารถหลุดออกจากกับดักประชา-นิยมได้เร็ว ฉะนั้นโจทย์สำคัญอยู่ที่ว่าเราจะอยู่กับนโยบายประชานิยมอย่างไร จึงจะไม่ให้ประเทศไทยล่มจมได้ขอเสนอ 3 แนวคิด เพื่อให้ร่วมกันคิดต่อและหาทางทำให้เกิดผลจริงในทางปฏิบัติ กล่าวคือ
แนวคิดแรก ต้องออกแบบนโยบาย ประชานิยมโดยคำนึงถึงการสร้างความสามารถในการแข่งขันและลดการบิดเบือน ผลกระทบที่เกิดภาคเอกชนเป็นสำคัญ ซึ่ง ในหลายประเทศที่เคยติดกับดักของรัฐสวัสดิการหรือประชานิยมสามารถจะกลับ มาได้โดยใช้กลไกของภาคเอกชนเป็นกลไกสำคัญ ตัวอย่างเช่น แนวคิด Choice and Competition เป็นนโยบายแบบที่ให้ผู้บริโภคมีทางเลือก และผู้บริการมีการ แข่งขันกัน ไม่ใช่นโยบายที่รัฐเป็นผู้คิดเอง ทำเอง กำกับเองอย่างในปัจจุบัน และมีปัญหานโยบายปลายเปิดที่ภาครัฐเป็นคนทำแล้วภาครัฐอาจจะไม่มีประสิทธิภาพสูงมากพอ และหลายครั้งไปเบียดบังภาคเอกชนด้วย เพราะภาครัฐแข่งกับภาคเอกชนไม่ได้และภาครัฐมีอำนาจรัฐอยู่ในมือก็ไปทำให้ภาคเอกชนแข่งขันได้ยากขึ้น ตัวอย่างที่เห็นได้ในประเทศไทยขณะนี้ คือ การใช้สถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐเป็น กลไกในการปล่อยสินเชื่อ ซึ่งสินทรัพย์ของ สถาบันการเงินเฉพาะกิจของภาครัฐไทยโตขึ้นมากถึงร้อยละ 30 ของสถาบันการเงินทั้งหมด ขณะที่เมื่อ 15 ปีที่แล้วไม่ถึงร้อยละ 10 สภาพของสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐวันนี้คือมีหนี้เสียสูงมาก หา ผู้บริหารที่มีประสิทธิภาพไม่ได้ รัฐบาลต้องเข้าไปเพิ่มทุนก็เป็นภาระ
ถ้าคิดในแนวคิด Choice and Competition ซึ่งเคยใช้ก่อนจะมี พ.ร.บ.ธนาคาร แห่งประเทศไทยฉบับใหม่ เรียกว่าเป็นสินเชื่ออัตราดอกเบี้ยต่ำเพื่อไปสนับสนุนเอสเอ็มอีและผู้ส่งออก แล้วให้สถาบันการ เงินไปแข่งขันกันปล่อยสินเชื่อให้กับภาคธุรกิจ โดยที่ผู้ขอใช้สินเชื่อก็สามารถเลือก ได้ว่าจะให้บริการของธนาคาร/สถาบันการ เงินใดก็ได้ โดยรัฐวางกรอบไว้ และกำหนด เงินอุดหนุนไว้ชัดเจน จึงไม่ใช่นโยบายปลายเปิด หากมีหนี้เสียเกิดขึ้นภาคเอกชน เป็นผู้รับภาระภาคเอกชนก็ต้องไปเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารสินเชื่อในการให้บริการลูกค้า ภาครัฐทราบชัดเจนว่าแต่ละปีใช้งบเท่าไหร่แล้วก็สามารถใช้เงินได้ตรงวัตถุประสงค์ ไม่มีปัญหาเรื่องประสิทธิภาพของภาครัฐมาเป็นปัญหา
อีกตัวอย่างเช่น กรณีประกันสังคม ซึ่งมีโรงพยาบาลเอกชนหลายแห่งที่เข้าร่วมให้บริการและสามารถทำกำไรได้ดีเพราะมีประสิทธิภาพสูงกว่าโรงพยาบาลของรัฐ และการกำหนดอัตราเงินอุดหนุนรายหัวใช้ข้อมูลของโรงพยาบาลภาครัฐเป็นตัวกำหนด วิธีการแบบนี้ทำให้รัฐไม่ต้องสร้างโรงพยาบาลเพิ่ม คุมรายจ่ายได้ และทำให้โรงพยาบาลภาครัฐต้องปรับตัวเพราะมีคู่แข่งเป็นภาคเอกชนที่มีประสิทธิภาพสูงกว่า เป็นต้น
ประเด็นสำคัญอยู่ที่การเปลี่ยนแปลง ในกรอบใหญ่ของวิธีคิดที่จะเอานโยบายประชานิยมไปทำให้เกิดผลในทางปฏิบัติ นั่นคือ ภาครัฐต้องปรับวิธีการทำจากการเป็นผู้คิดนโยบายและทำนโยบายเอง มาเป็นนโยบายที่รัฐเป็นผู้คิดนโยบายและให้ภาคเอกชนทำ โดยรัฐเป็นผู้กำกับ และวาง กติกาที่ถูกต้อง เชื่อว่าปัญหารั่วไหลก็จะลดลง และยังทำให้ภาคเอกชนคิดถึงการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันด้วย
แนวคิดที่สอง ต้องเพิ่มความเข้มข้นของระบบวินัยการคลังและกระบวนการงบประมาณเพื่อป้องกันไม่ให้พรรคการ เมืองแข่งขันกันเกทับนำเสนอนโยบายประชานิยมแบบไร้ความรับผิดชอบ ปัญหา ภาระหนี้จากนโยบายประชานิยมที่ต้องแบกรับในอนาคตซึ่งเป็นห่วงกันมากนั้น ควรพิจารณากรอบ กติกา กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการคลังว่ามีช่องทางไหนที่จะทำให้เข้มข้นกว่าเดิมเพื่อปิดช่องทางต่างๆ วันนี้เราจะได้ยินเรื่องภาระหนี้ หรือ สัดส่วนหนี้ต่อรายได้ประชาชาติซึ่งมีกรอบ อยู่ว่าไม่ควรเกินร้อยละ 60 เป็นความยั่งยืนทางการคลัง แต่ก็เป็นเพียงมติคณะรัฐมนตรีเท่านั้นเอง เพราะเราจะเห็นวิธีการว่าถ้าเกินก็หันไปใช้กลไกอื่นๆ เช่น ใช้ รัฐวิสาหกิจ ใช้สถาบันการเงินเฉพาะกิจ ใช้กองทุนพิเศษ ซึ่งพวกนี้ก็อาจจะหลุดไปจากนิยามของหนี้สาธารณะ ซึ่งแต่ละรัฐบาลก็มีวิธีการแตกต่างกันไป หากมีกรอบกติกาที่ชัดเจนและเขียนไว้เป็นกฎหมายก็จะดีไม่น้อย เช่น กำหนดให้ทุกโครงการของรัฐบาลต้องแสดงประมาณการความเสียหายที่จะเกิดขึ้นไว้ชัดเจนเมื่อขออนุมัติโครงการ รวมถึงต้นทุนการทำนโยบาย ผล ที่คาดว่าจะเกิดขึ้น และมีการติดตามผลนั้นเปิดเผยอย่างโปร่งใส นโยบายที่เป็นนโยบายปลายเปิดไม่ทราบความเสียหายอาจจะทำไม่ได้
แนวคิดที่สาม ปฏิรูประบบราชการ ต้องให้ความสำคัญกับการเร่งเพิ่มประสิทธิภาพของข้าราชการระบบราชการและรัฐวิสาหกิจอย่างจริงจัง เพราะถ้ามีการใช้นโยบายในลักษณะเชิงประชานิยมมากขึ้น ขนาดของภาครัฐจะใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ถ้ากลไกการทำงานของภาครัฐยังไม่เกิดประสิทธิภาพดีพอก็จะเป็นช่องให้เกิดการรั่วไหล แทรกแซงได้ง่าย คอร์รัปชั่นสูง เป็นปัญหาบานปลายได้ในระยะยาว และที่สำคัญถ้าภาครัฐเทอะทะประสิทธิภาพต่ำก็จะไปส่งผลกระทบกับวิธีการทำธุรกิจของภาคเอกชน ความสามารถในการแข่งขัน และต้นทุนในการทำธุรกิจของภาคเอกชน ดังนั้น โจทย์สำคัญคือทำอย่างไรระบบราชการจะรักษาข้าราชการที่เก่งและซื่อตรงให้คงความเก่งและความตรงไว้ได้ในระยะยาว และมีโอกาสได้ทำงานได้อย่างเต็มฝีมือ
ถ้าเราใช้นโยบายประชานิยมโดยที่ไม่คำนึงถึงผลข้างเคียงที่เกิดขึ้น ไม่คำนึงถึงผลกระทบต่อความสามารถในการแข่งขันของประเทศของภาคธุรกิจที่อยู่ในประเทศผลกระทบมันจะเป็นงูกินหางที่ดึงเราลงไปเรื่อยๆ และถ้าเราติดกับดักเหล่านี้ไปเรื่อยๆ เราจะออกจากกับดักนี้ยากขึ้นเรื่อยๆ เช่นกัน วันนี้เราจึงต้องช่วยกันดึงประเทศออกจากประชานิยมไม่พึงประสงค์
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
The Associated Press
ภาษีบุหรี่ ค้างคา "แช่แข็ง" ไม่เดินหน้...
...
อะไรคือ ? โจทย์ใหญ่ กระทรวงการคลัง ที่มา...
...
ttb analytics มองเงินบาทยังมีแนวโน้มแข็ง...
...
มาตรการ MPOWER เสาหลักกฎหมายควบคุมผลิตภั...
...
“ทักษิณ” พ่อมดการเมือง????...
...
บริษัท สมาร์ท โกลด์ มีเดีย กรุ๊ป จำกัด SMART GOLD MEDIA GROUP CO.,LTD. ติดต่อสอบถาม โทร : 0893284192 , ID Line : @siamturakij และ ฝ่ายโฆษณา siamturakijadvertising@gmail.com
© 2013 สยามธุรกิจ
×
เว็บไซต์ “สยามธุรกิจ” ใช้คุกกี้เพื่อให้ท่านได้รับประสบการณ์การใช้งานที่ดียิ่งขึ้น อ่านนโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (Privacy Policy) และ นโยบายคุกกี้ (Cookie Policy)
กดยอมรับ