สะบัดร้อนสะบัดหนาว : by ณรงค์ ปานนอก

ผมยังติดใจโครงการนิวเคลียร์ที่หลายหน่วยงานรัฐเริ่มท้อแท้ ไม่คิดจะลุยต่อเพียงเพราะถูกคัดค้านจากบางเครือข่ายที่พยายามหาเหตุผลมาหว่านล้อมให้เห็นพิษภัย ที่มีแต่ภยันตรายเพียงด้านเดียว

โดยไม่คิดที่จะชั่งน้ำหนักระหว่างผลเสียกับผลดี ว่าอย่างไหนควรจะตัดสินใจทำ มากกว่า

เราฟังเหตุผลของมหันตภัยจากพลังงานนิวเคลียร์ว่า มันสามารถก่อความรุนแรง และมีผลทำลายล้างสูงมาก ยิ่งนำไปใช้ในสงครามเราก็เข็ดขยาดกับระเบิดปรมาณูที่ ฮิโรชิมา และนางาซากิ ที่ญี่ปุ่น ในสงครามโลกครั้งที่ 2 คร่าชีวิตมนุษย์หลายแสนคน มาอย่างสยดสยองพอแล้ว

แต่แปลกมั้ยครับว่า ญี่ปุ่นกลับไม่กลัวที่จะสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์มากถึง 55 แห่ง ซึ่งทำให้เกิดผลดีต่อต้นทุนการผลิตไฟฟ้าต่ำกว่าการผลิตไฟฟ้าด้วยวิธีอื่น

ยิ่งมองไปยังชาติมหาอำนาจทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นสหรัฐอเมริกา อังกฤษ ฝรั่งเศส รัสเซีย และจีน ชาติยักษ์เหล่านี้กลับติดตั้งโรงงานไฟฟ้านิวเคลียร์ประเทศละหลายสิบ แห่งอย่างไม่กลัวอภิมหาอันตรายจากเตานิวเคลียร์แม้แต่ประเทศเดียว (ย้ำอีกครั้งว่า อเมริกามีโรงไฟฟ้านิวเคลียร์มากถึง 104 โรง)

แม้จะเกิดความผิดพลาดมาบ้าง 2-3 โรงไฟฟ้าที่เมืองเชอร์โนบิล รัสเซีย และ เมืองฟูคูชิมะ ญี่ปุ่น รวมทั้งสารกัมมันตรังสีรั่วไหลอีกบางโรงในบางประเทศ แต่สรุปโดยรวมประเทศมหาอำนาจเหล่านั้นก็ยังใช้ไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ต่อไป

เพราะเขาไม่ย่นย่อต่ออุปสรรค พยายามพัฒนาให้ดีขึ้นและป้องกันไม่ให้เกิดอุบัติเหตุที่คาดไม่ถึงอย่างมั่นใจมากขึ้นไปอีก

ผมขอยืนยันอีกครั้งจากกรณีโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ที่ฟูคูชิมะมีปัญหาเพราะถูกคลื่น สึนามิกระหน่ำซัดอย่างรุนแรงจนโรงไฟฟ้าไม่อาจป้องกันเหตุสุดวิสัยได้ ทำให้โรงไฟฟ้า เสียหายและกัมมันตรังสีจากนิวเคลียร์รั่วไหลออกมาคร่าชีวิตพนักงานบางคนตายไป จริง แต่คนที่ตายไปเป็นหมื่นๆ คนที่นั่น หาใช่ตายเพราะโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ แต่เขาตาย เพราะภัยคลื่นสึนามิ...ขออย่าได้เหมารวมว่าคนญี่ปุ่นตายมากเป็นเพราะโรงไฟฟ้านิวเคลียร์

เมื่อย้อนกลับมาที่เมืองไทยในระยะเวลาที่เรามีเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์ตั้งและ ดำรงอยู่คู่กรุงเทพมหานคร ณ ริมรั้วติดกับมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ มายาวนานถึง 50 ปี ซึ่งหากมองในแง่ร้าย สารกัมมันตรังสีมันก็ไม่ต่างกับโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ที่เมือง ฟูคูชิมะตรงไหน ถ้ามันจะต้องรั่วไหลหรือพังพาบไปเพราะ "โลกาวินาศ" ...ซึ่งผมดูว่า มันน่าจะพินาศเพราะลมปากมากกว่า

แต่กับคนไทยที่ตายในเทศกาลปีใหม่กับเทศกาลสงกรานต์ เฉลี่ย 2 เทศกาล ปีละ 700 ศพ กลับไม่เห็นมีใครออกมาตีโพยตีพายถึงความตายของศพเหล่านี้แม้แต่น้อย

หรือว่า 700 ศพคนไทยไม่สยดสยองพองขนเท่าโรงไฟฟ้านิวเคลียร์แค่ 2-3 แห่งที่เกิด "exident" อยู่ในประเทศที่ไกลโพ้นจากไทยหลายพันกิโลเมตรโน่นมากกว่า

หรือว่า เพราะนักเก็บข้อมูลที่เอามาคัดค้านทั้งหลายหวาดวิตกคนเดียวไม่พอ ก็เลยสร้างกระแส "กระต่ายตื่นตูม" จนได้ผลไปทั้งแผ่นดิน

เมื่อวันอังคาร 22 ตุลาคมที่ผ่านมา ผมดูข่าวหัวรุ่งของโทรทัศน์ช่อง 3 ว่า นายเดวิด คาเมรอน นายกรัฐมนตรีอังกฤษ เดินทางไปดูสถานที่ก่อสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์แห่งใหม่ที่มีกำลังผลิต 1,000 เมกะวัตต์ โดยร่วมมือกับเทคโนโลยีนิวเคลียร์ ของจีน 40% และชวนให้ฝรั่งเศสร่วมหุ้นด้วยอีก 30%...นั่นหมายความว่า สถานการณ์พลังงานนิวเคลียร์ของมหาอำนาจต่างๆ เขายังไม่ได้ตื่นตูม หรือตระหนกวิตกจริตต่อปัญหานิวเคลียร์แต่อย่างใดไม่

อังกฤษยังคงเดินหน้าติดตั้งโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ควบคู่ไปกับวิสัยทัศน์ที่ไม่หยุดยั้ง ของมาเลเซีย และเวียดนาม ที่กำลังจะสร้างให้เสร็จภายในอีก 2-3 ปีข้างหน้า

แล้วอะไรล่ะครับคือข้อเท็จจริง และเหตุผลที่มีน้ำหนักระหว่างผลดีกับผลเสียของพลังงานนิวเคลียร์ โดยที่คนไทยไม่ถูกครอบงำด้วยการคัดค้านเพียงฟังข้อมูลด้านเดียวมาตลอด

แถมเมืองไทยเรามีสถาบันเทคโนโลยีนิวเคลียร์แห่งชาติ มีนักวิทยาศาสตร์ที่เข้าใจเรื่องนิวเคลียร์อยู่จำนวนหนึ่งจากภาควิชาวิศวกรรมนิวเคลียร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จากภาควิชารังสีประยุกต์และไอโซโทป มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ จากสำนักงานปรมาณูเพื่อสันติ จากการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยและจากกระทรวง พลังงานอีกพอสมควรทำไมเราจึงสิ้นหวังเอาง่ายๆ กับข้อมูลด้านลบ โดยไม่ช่วยกันระดม ความคิดจากทุกมุมมองมาหาข้อสรุปว่า อย่างไหนจะมีผลดีหรือผลเสียมากกว่ากัน

ผมยังแปลกใจและยังสงสัยว่า ถ้าพลังงานนิวเคลียร์มีผลเสียมากกว่าผลดีแล้ว ละก็...ทำไมมหาอำนาจยักษ์ใหญ่ทั้งหลายจึงไม่ยอมยุบเลิกโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ รวมทั้ง ญี่ปุ่นที่ลิ้มรสระเบิดนิวเคลียร์มาแล้วก็ยังมีมากเกินครึ่งร้อยโรงอย่างนั้น

เราๆ ท่านๆ ไม่เฉลียวใจมั่งหรือครับว่า กลุ่มคัดค้านเขามีวาระเร้นลับอะไรหรือไม่?

ผมว่าเราหันกลับมาตั้งสติกันใหม่ก็ยังไม่สายนะครับ!