Toggle navigation
วันเสาร์ ที่ 21 มิถุนายน 2568
หน้าแรก
ข่าวสาร
วิเคราะห์-บทความ-ต่างประเทศ
ประกัน
ยานยนต์
การเงิน-ธนาคาร
หุ้น-กองทุนรวม
อสังหาริมทรัพย์
พลังงาน-คมนาคม-โลจิสติกส์
อุตสาหกรรม-เออีซี-เอสเอมอี
ไอที
การศึกษา-กทม
การตลาด-ซีเอสอาร์
เกษตรยุคใหม่-ภูมิภาค
บันเทิง
ขายตรง
ประชาสัมพันธ์
PR NEWS -ข่าวประชาสัมพันธ์
ไลฟ์สไตล์
ท่องเที่ยว
แฟชั่นโซไซตี้-ดูดวง
ช๊อป-ชิม-ชิล
สุขภาพ-ความงาม
วิดีโอ-คลิปข่าว
E-Book
นสพ. สยามธุรกิจ
ติดต่อเรา
สามารถส่งข้อมูล ข่าวสาร ทางอีเมลล์ : siamturakijonlinenews@gmail.com และ สำหรับฝ่ายโฆษณา ทางอีเมลล์ : siamturakijadvertising@gmail.com
หน้าแรก
วิเคราะห์-บทความ-คอลัมน์
ฆาตกรรมซ้ำซ้อน-นิรโทษซ้ำเติมความตาย "ศพร้องไห้ น้ำตานองกระดูก"
ฆาตกรรมซ้ำซ้อน-นิรโทษซ้ำเติมความตาย "ศพร้องไห้ น้ำตานองกระดูก"
วันเสาร์ที่ 09 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556
Tweet
วิเคราะห์การเมือง : by นพคุณ ศิลาเณร
ไม่มีถอยแล้ว พรรคเพื่อไทยและพรรคร่วมรัฐบาลผนึกเสียงลงคะแนนจำนวน 310 เสียงต่อ 0 ผ่านวาระ 3 ร่างกฎหมายนิรโทษกรรมฉบับคณะกรรมาธิการแปรญัตติ ไปเมื่อเวลาประมาณ 04.25 น. ของคืนวันที่ 31 ตุลาคมที่ผ่านมา
สภาผู้แทนราษฎรใช้เวลาประชุมนาน เกือบ 20 ชั่วโมงเพื่อพิจารณาร่างกฎหมาย นิรโทษกรรม ซึ่งเต็มไปด้วยพลังต่อต้านผสม เสียงค่อนขอดเต็มบ้านทั่วเมืองว่า เป็นฉบับ "เหมาเข่ง" หรือเป็นอาการเดินหน้าลุยจน "สุดซอย" จนกระทั่งผ่านวาระ 2 และวาระ 3 ในช่วงเวลาหนึ่งวันกับหนึ่งคืน
หากเปรียบเทียบ "ซอย" ที่ร่างกฎหมายนิรโทษกรรมเดินผ่านเพื่อทะลุไปสู่สถานภาพ "กฎหมายสมบูรณ์" พร้อมบังคับ ใช้แล้ว เมื่อสภาผู้แทนราษฎรผ่านวาระ 3 เป็นเพียงอาการเดินหน้าลุยตั้งแต่ต้นซอยมาถึงกลางซอยเท่านั้น
ยังเหลือระยะทางอีกตั้งครึ่งซอย เพราะต้องผ่านวุฒิสภาอีก 3 วาระ ถ้ามีการ แก้ไขต้องย้อนกลับมาตั้ง "คณะกรรมาธิการร่วม" แล้วนำกลับไปสู่การลงมติของแต่ละสภาอีกครั้ง
ถ้ามีการยื่นคำร้องว่า "ขัดรัฐธรรมนูญ" การพิจารณาของ "ศาลรัฐธรรมนูญ" จะเป็นขั้นตอนชี้ขาดว่า ขัดหรือไม่ขัด ขั้นตอน นี้ราวกับเป็นการพิจารณาวาระ 4 ของร่างกฎหมายล้างผิดให้ "ฆาตกร"
บัดนี้ พลังกดดันให้ "ล้ม" ร่างกฎหมาย นิรโทษเหมาเข่งจึงพุ่งเป้าไปสู่ "วุฒิสภา" ส่วนพรรคเพื่อไทยเมื่อ "ชนะ" ก็ถอนทัพออกจากซอยหมดสิ้นด้วยสภาพประหนึ่งเป็น "ฆาตกรโชกเลือด" จากเสียงโขกสับของพรรคประชาธิปัตย์ กลุ่มคนเสื้อแดง รวมทั้ง นักวิชาการผู้มากคุณธรรมที่ต้องการให้ฆาตกร สั่งฆ่าประชาชน 100 ศพ กลางถนนเมืองกรุง ได้รับโทษสาสมความอำมหิตผิดมนุษย์
อดใจไว้...คงไม่นานเกินสิ้นเดือนพฤศจิกายนนี้ ภารกิจ "เหมาเข่งสุดซอย" ต้องเกิดปรากฏการณ์แจ่มแจ้งขึ้น มีการประเมินว่า แม้ร่างกฎหมายฉบับนี้ผ่านวุฒิ-สภา แต่อาจไปตกม้าตายกลางสมรภูมิศาล รัฐธรรมนูญ นั่นเป็นด่านสำคัญที่อาจทำให้พลังต่อต้านมีเสียงไชโยดีใจ เฉลิมฉลองชัยชนะครั้งใหญ่ให้ฆาตกรอำมหิตสั่งฆ่าประชาชนได้รับสิทธิ์ต่อสู้ในศาลอาญา
และรอไปลุ้นอีกนับสิบปีจนกว่าการดำเนินคดีจะรู้ผลสำเร็จแต่ประชาชนคนตาย 100 ศพ ยังต้องอยู่ด้วยความหวัง ราวกับนักเสี่ยงโชคในการล่าฆาตกรมาลงโทษ
+ ใครคือฆาตกรอำมหิต
ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ พยายามอย่างถึงที่สุดกับการ "ล้ม" หรือ "เลื่อน" การพิจารณาร่างกฎหมายนิรโทษออกไปให้นาน แต่ ส.ส.พรรคเพื่อไทยกับพรรคร่วมรัฐบาลใช้เสียงข้างมาก "หักดิบ" ลงมติผ่านวาระ 3 ไปด้วยเสียงแตกแถวค่อนข้างน้อย คือ 4 เสียงของผู้งดออกเสียง
เสียงตะโกนด่าด้วยอารมณ์โกรธกลาง ห้องประชุมสภามาจาก ส.ส.ประชาธิปัตย์ว่า "ลงคะแนนเลยจะได้ปล่อยให้ฆาตกรลอยนวล...ข้ามศพมันให้หมดเลย" แน่ละ เสียงตะโกนย่อมส่งตรงมาปลุกให้ม็อบสถานี รถไฟสามเสนเรือนหมื่นเกิดอาการ "คลั่งสุดซอย" ตามไปด้วย
อารมณ์เยี่ยงนี้แปลความเป็นไทยได้ง่ายๆ ว่า นิยาม "ฆาตกร 100 ศพ" ตามทรรศนะพรรคประชาธิปัตย์ต้องคือ คนอำมหิต ในฝั่งรัฐบาล และซ่อนตัวอยู่ใต้ร่มเงาอำนาจของพรรคเพื่อไทย
พรรคประชาธิปัตย์เป่านกหวีดก่อม็อบ สถานีรถไฟสามเสนเพื่อต้านร่างกฎหมายนิรโทษด้วยรหัส "ไม่ล้างผิดให้ พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร" รวมทั้งมีความเชื่อเป็นเกม ฝังหัวว่า ความตาย 100 ศพ เกิดจากการกระทำของผู้ก่อการร้าย หรือนักรบชายชุดดำที่แนบแน่นกับผู้ทรงอำนาจในพรรคเพื่อไทย
แต่พรรคประชาธิปัตย์ยังไม่เคยพิสูจน์ ให้กระจ่างได้เลยว่า นักรบชุดดำเป็นใคร ในทางตรงกันข้าม 100 ศพ ที่ตายนั้นเป็นประชาชนมือเปล่า และศาลอาญาชี้ขาดผล ความตายว่า มาจากกระสุนปืนความเร็วสูง จากเจ้าหน้าที่รัฐที่ปฏิบัติหน้าที่ตามคำสั่งศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน หรือ ศอฉ.
ขณะเดียวกัน กลุ่มคนเสื้อแดงภายใต้ การนำของแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ หรือ นปช. ซึ่งมีนายจตุพร พรหมพันธุ์ นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ และนางธิดา ถาวรเศรษฐ เป็นแกนนำสำคัญ เชื่อว่า ฆาตกร 100 ศพ เป็นคนพรรคประชาธิปัตย์ เพราะเป็นแกนนำรัฐบาลในเหตุการณ์ล้อม ปราบประชาชนเมื่อเมษา-พฤษภา 2553
กระทั่งอัยการสูงสุดตัดสินใจสั่งฟ้องดำเนินคดีกับนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตรองนายกรัฐมนตรี ในคดีฆาตกรรม 100 ศพเมื่อปี 2553
ดังนั้น ฆาตกรในความเชื่อของ นปช. และอัยการสูงสุด คือ นายอภิสิทธิ์และนาย สุเทพ เมื่อร่างกฎหมายนิรโทษเหมาเข่งทำให้ "อภิสิทธิ์-สุเทพ" ได้ประโยชน์แล้ว นปช. และคนเสื้อแดงจึงต่อต้านกฎหมายฉบับนี้ด้วยเช่นกัน
ด้วยเหตุนี้ การต่อต้านร่างกฎหมายนิรโทษที่เกิดจากอารมณ์ของ "คู่ขัดแย้ง" ที่มีเป้าหมายแตกต่างกัน พรรคประชาธิปัตย์ ต่อต้านเพราะทักษิณได้ประโยชน์ ส่วน นปช. ต่อต้านเพราะอภิสิทธิ์-สุเทพได้ประโยชน์
ไม่เพียงเท่านั้น แรงต่อต้านของพรรค ประชาธิปัตย์มีลักษณะเป็น "เกมการเมือง" และการต่อต้านของ นปช.เป็นไปด้วยอารมณ์ "ความตาย" ซึ่งสุดทนกับการปล่อยฆาตกรให้ลอยนวลไปได้
เมื่อพิจารณาเช่นนี้ อารมณ์จึงเป็นจุด แบ่งแยกเป้าหมายการต้าน ถึงกระนั้นแรงต่อต้านทั้งหมดทั้งปวงได้ลากให้พรรคเพื่อไทยกลายเป็น "ฆาตกรมือเปื้อนเลือด" ไปด้วย
ถึงที่สุด การนิรโทษเหมาเข่งจะผ่านกระบวนการพิจารณาแบบสุดซอยหรือไม่ก็ตาม ประชาชนที่กลายเป็นเหยื่อการเมือง ย่อมเสียประโยชน์ทั้งสิ้น
ถ้ากฎหมายผ่าน คนตาย 100 ศพ ย่อม กลายเป็นศพที่ถูก "ฆาตกรรมซ้ำซ้อน" เข้าไปอีก ส่วนฆาตกรทั้งในความเชื่อของพรรคประชาธิปัตย์และ นปช.ได้ประโยชน์ ลอยนวลเต็มอิสระ
หากกฎหมายไม่ผ่าน คนติดคุก และคนอยู่ด้วยชีวิตที่หวาดระแวงกับคดีความ ต้องกลายเป็นกลุ่มที่เสียประโยชน์สูงสุดกับการนิรโทษเหมาเข่ง
นี่เป็นทางเลือก "สุดซ้ำเติม" ที่เอาฆาตกรเป็นตัวตั้งในการตีคุณค่าของการนิรโทษเหมาเข่ง เพราะประชาชนไม่มีทางเลือกอย่างน่าภูมิใจ
+ นปช.อมเลือด
นปช.แดงทั้งแผ่นดิน ไม่อาจก่อม็อบต้านนิรโทษเหมาเข่งได้อย่างพรรคประชาธิปัตย์ที่เป่านกหวีดสถานีสามเสนรวมพล
เพราะ นปช.เป็นส่วนหนึ่งของพรรคเพื่อไทย และเป็นกลุ่มคนที่ได้รับการสนับสนุนจาก พ.ต.ท.ทักษิณ แต่ในด้านจุดยืนแล้ว พวกเขาต้องแบกรับภารกิจ "ล่าฆาตกร" มาลงโทษให้วิญญาณคนตาย 100 ศพ ได้รับความยุติธรรม
นี่คืออาการ "อมเลือด" เต็มปาก ยากต่อการพ่นทิ้ง หรือกลืนลงคอให้หายไปกับการนิรโทษเหมาเข่ง
อนาคตของ นปช.มาถึงทางแยกที่ต้องตัดสินใจและหาคำตอบว่า ความเป็นมนุษย์ที่ต้องเลือกข้างประชาชนนั้นจะก้าวเดินด้วยศักดิ์ศรีอย่างไร
ผลทางเลือกย่อมไม่มีทางถอยเช่นกัน เพราะเมื่อการนิรโทษผ่าน นปช.ก็ยากที่จะคบค้าสมาคมกับพรรคเพื่อไทย และการนิรโทษเหมาเข่งไม่ผ่าน นปช.ก็ไม่มีอารมณ์ร่วมกับพรรคเพื่อไทย
ถ้าพิจารณาในแง่มุมที่ว่า การนิรโทษ เหมาเข่งเป็นเกมการเมืองแล้ว ย่อมเป็นเกม ที่ทำลาย นปช.และต้องการสลัดให้ออกจาก พรรคเพื่อไทย
เพราะด้านหนึ่งพรรคเพื่อไทยต้องการ "ทำพรรคการเมืองที่เป็นพรรค" ใช้นโยบายหาเสียงในสนามเลือกตั้ง และไม่ต้องการมี "มวลชน" ให้เกิดการบาดหมางในสังคมขึ้นอีก
กล่าวง่ายๆ คือ เกมนี้ของพรรคเพื่อไทย คือ การสลัดมวลชนเพื่อสลายข้าง เลิกการแบ่งฝ่าย เพราะการเมืองแบบแบ่งฝ่าย มีรหัสสีในการต่อสู้ตลอด 8 ปีที่ผ่านมานั้น ไม่ได้ทำให้สังคมเกิดการปรองดองขึ้น มีแต่มากด้วยอารมณ์เกมเอาชนะเหนือเหตุผลของสังคมเป็นหลัก
เมื่อพิจารณาในด้านดีแล้ว พรรคเพื่อ ไทยจึงย่อมเจ็บปวดกับแนวร่วมและมวลชน สนับสนุน ถ้าเป็นการพิจารณาแบบ "เอาแต่ดี" แล้ว ทักษิณได้ประโยชน์เต็มๆ จากภารกิจ "สู้สุดซอย" ในครั้งนี้
ถึงที่สุดมิติด้านดีของพรรคเพื่อไทย จึง ต้องไปเสี่ยงแลกคะแนนในสนามเลือกตั้งทั้งสิ้น นี่เป็นรหัสการตัดสินใจในมุมของพรรคเพื่อไทยที่กระโจนเข้าสู่สมรภูมินิรโทษ เหมาเข่งจนต้องอาบเลือดเต็มตัว
ส่วนพรรคประชาธิปัตย์ ด้วยอาการเมามันถึงขั้นคลั่งกับ "เกมล้างผิดให้ฆาตกร" นั้น กลับทำให้พรรคการเมืองนี้ ต้องหันมาสร้าง "มวลชนข้างถนน" เพื่อต่อสู้และปกป้องพรรคเช่นกัน
นี่เป็นเกมที่เลียนแบบพรรคเพื่อไทยที่มีมวลชน นปช. แต่บัดนี้พรรคเพื่อไทยสลัด มวลชนออกไป เหลือเพียงพรรคการเมืองที่ ต้องวัดกันด้วย "ผลงาน" ในสนามเลือกตั้ง
พรรคประชาธิปัตย์เดินเกมมวลชนข้างถนน เท่ากับไปเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างการเมืองแบ่งแยก โอกาสเกิดสังคมปรองดองจึงริบหรี่ลงไปอีก
เสียงนกหวีดสัญญาณม็อบสามเสนดังขึ้น นั่นเท่ากับพรรคประชาธิปัตย์เป็นตัวการสลายม็อบ คปท.ที่แยกอุรุพงษ์ และทำลายพลังม็อบที่สวนลุมพินีไปโดยปริยายเพื่อให้พลังม็อบเหล่านั้นมาร่วมชุมนุมและอยู่ในสังกัดม็อบประชาธิปัตย์
ในแง่การต่อสู้ พรรคประชาธิปัตย์ได้ รับเสียงเห็นด้วยจากกลุ่มประชาชน แต่ยากต่อการได้พลังมาสนับสนุนเพราะภาพลักษณ์ การก่อม็อบคือ ผลประโยชน์ของพรรคการเมืองเป็นการเฉพาะ
ดังนั้น เป้าหมายการต้านนิรโทษเหมา เข่ง ยังต้องใช้เวลาอีกนาน และหากพรรคประชาธิปัตย์สู้ก็ต้องม็อบอีกหลายคืน แต่พรรคเพื่อไทยและรัฐบาลลอยตัวไปแล้วตั้งแต่ผลักดันจนผ่านวาระ 3 ของสภาผู้แทนราษฎร
ด้วยเหตุนี้เป้าหมายการต่อต้านนิรโทษ เหมาเข่งจึงต้องออกมาแบบ "ลูกขอความเห็นใจ" จากวุฒิสภาช่วยต้านการนิรโทษ ซึ่งการชมบนเวทีม็อบย่อมขาดพลังในการปลุกมวลชน การต่อสู้จึงไร้เป้าหมาย
อย่างไรก็ตาม ทั้งการต่อสู้ของพรรค ประชาธิปัตย์ พรรคเพื่อไทย และกลุ่ม นปช. ในสมรภูมินิรโทษเหมาเข่งล้วนกระทำลงสู่ซากศพคนตาย 100 ศพ ซ้ำเติมความเจ็บปวดร้าวลึกของประชาชนที่ติดคุก และหลบ ซ่อนตัวอย่างหวาดผวา
เกมนิรโทษเหมาเข่งมีจุดสิ้นสุดด้วยประชาชนต้องแพ้ตามปกติ ดีไม่ดีเกมนี้ ร้ายแรงถึงขั้น "น้ำตาอาบแก้มศพ" เพื่อยินดีกับ "คนเป็น" ได้กลับบ้าน ก้มจูบแผ่นดินที่เต็มไปด้วยเสียงสาปแช่ง
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
The Associated Press
ภาษีบุหรี่ ค้างคา "แช่แข็ง" ไม่เดินหน้...
...
อะไรคือ ? โจทย์ใหญ่ กระทรวงการคลัง ที่มา...
...
ttb analytics มองเงินบาทยังมีแนวโน้มแข็ง...
...
มาตรการ MPOWER เสาหลักกฎหมายควบคุมผลิตภั...
...
“ทักษิณ” พ่อมดการเมือง????...
...
บริษัท สมาร์ท โกลด์ มีเดีย กรุ๊ป จำกัด SMART GOLD MEDIA GROUP CO.,LTD. ติดต่อสอบถาม โทร : 0893284192 , ID Line : @siamturakij และ ฝ่ายโฆษณา siamturakijadvertising@gmail.com
© 2013 สยามธุรกิจ
×
เว็บไซต์ “สยามธุรกิจ” ใช้คุกกี้เพื่อให้ท่านได้รับประสบการณ์การใช้งานที่ดียิ่งขึ้น อ่านนโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (Privacy Policy) และ นโยบายคุกกี้ (Cookie Policy)
กดยอมรับ