"สคบ." จัดแถวขายตรง เปิดเวทีสัมมนา ภายใต้หัวข้อ "พิธีมอบใบสำคัญการจดทะเบียนประกอบธุรกิจขายตรง และการประชุมสัมมนา เรื่อง แนวทางการดำเนินการของผู้ประกอบธุรกิจขายตรง เพื่อรองรับประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน" โชว์จำนวนบริษัทขายตรงที่ยังดำเนินการ อยู่ 353 ราย คาดยังมีอีกร่วม 100 บริษัทรอรายงานตัว ด้าน "จิรชัย" แจงข่าวลือรับใต้โต๊ะ แลก "ตราสัญลักษณ์ สคบ." ชี้ทำงานโปร่งใส ใครจ่ายส่วยถือว่ามีความผิด พร้อม ลั่น กำลังเดินหน้ารื้อกฎหมาย ตั้งหน่วยงานกำกับดูแลขายตรงโดยเฉพาะ ยกระดับวงการ MLM เมืองไทย
นายจิรชัย มูลทองโร่ย เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) เปิดเผยว่า "ตอนนี้ทางรัฐบาลเอง ไม่ได้หยุดนิ่งเกี่ยวกับเรื่องของ การยกระดับอุตสาหกรรมขายตรงไทย โดยอนาคตเราจะหนุนให้มีการตั้งหน่วยงานที่ดูแลธุรกิจนี้โดยเฉพาะให้เกิดขึ้น เพราะธุรกิจขายตรงมีมูลค่าทางการตลาด นับแสนล้านบาท แต่ขณะนี้รัฐกำลังพยายาม แก้ไขและหาแนวทางรองรับเกี่ยวกับกฎหมายขายตรง และขอยืนยันว่า รัฐบาล เองจะสนับสนุนธุรกิจขายตรงเต็มที่ เพราะ ทาง สคบ.ได้พยายามปราบปรามบุคคลที่ฉวยโอกาสหาผลประโยชน์จากธุรกิจนี้ รวมถึงบริษัทที่ก่อตั้งมาเพื่อหลอกลวง ไม่ใช่จะเพียงคุ้มครองเฉพาะผู้บริโภคเท่านั้นที่ร้องเรียนมาทาง สคบ. แต่ขณะนี้ มีสมาชิกของบริษัทขายตรงหลายบริษัท ก็ถูกบริษัทจ่ายค่าตอบแทนไม่ตรงเวลา หรือจ่ายค่าคอมมิสชั่นไม่ครบ และก็มีปิดบริษัทหนีไปดื้อๆ จนทำให้ภาพลักษณ์ธุรกิจ ขายตรงที่กำลังดีต้องเสื่อมเสียลง"
อย่างไรก็ตาม มีการร้องเรียนมายัง สคบ. ถึงเรื่องการจดทะเบียนรับรองและการให้ตราสัญลักษณ์เพื่อประกอบธุรกิจขายตรง โดยจะต้องเสียค่าใช้จ่ายเพื่อให้ได้ตราสัญลักษณ์นี้ เกี่ยวกับเรื่องนี้ นายจิรชัย มูลทองโร่ย เลขาธิการ สคบ. ได้กล่าวต่อว่า "ผมไม่เข้าใจว่าเอาเรื่องแบบนี้มาจากไหน เพราะตนไม่เคยไปขอเงินจาก บริษัทไหนทั้งนั้น การจะได้ตราสัญลักษณ์รับรองการประกอบธุรกิจของ สคบ. ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น และไม่ว่าบริษัทใด ก็ไม่ต้องมาจ่ายเงินให้ตน เพราะ ตนไม่รับเงินใต้โต๊ะแน่นอน แต่ถ้าบริษัทไหนเสียเงินใต้โต๊ะจนได้รับตราสัญลักษณ์นี้มาขอให้มาแจ้งที่ผมได้ทันที ผมจะจัดการ ดำเนินคดีกับบุคคลที่กระทำผิดเรื่องนี้แน่นอน โดยจะไม่ปล่อยเอาไว้เด็ดขาด และในช่วงประมาณเดือนพฤษภาคมนี้ ผมจะมีกำหนดเดินทางไปประชุมเรื่องการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนเพื่อหารือเกี่ยวกับปัญหานี้ด้วย"
ขณะที่ พ.ต.อ.นิรันดร์ อดุลยาศักดิ์ ผู้บัญชาการสำนักคดีอาญาพิเศษ 1 กล่าวว่า "ปัจจุบันผู้คนหันมาทำธุรกิจขายตรงกันเยอะ และการที่จะตกเป็นเหยื่อของพวก มิจฉาชีพก็มีตามมาเช่นกัน เพราะวีธีการ กลโกงมีหลายรูปแบบ ดังนั้น อยากให้ผู้ที่ สนใจเกี่ยวกับธุรกิจนี้ศึกษาข้อมูลบริษัทให้ดี ทางที่ดีบริษัทที่จะดำเนินธุรกิจนี้ ควรจะมีการรับรองจาก สคบ. จะดีที่สุด เพื่อความ ปลอดภัยในการประกอบธุรกิจ และไม่ต้อง ห่วงทางหน่วยงานรัฐจะเข้าไปตรวจสอบบริษัทที่จดทะเบียนแล้วอยู่เรื่อยๆ แน่นอน เพื่อจะดูว่ายังทำถูกต้องตามกฎหมายหรือ ไม่อย่างไร"
"การจ่ายผลตอบแทนกำลังมีปัญหา เพราะบริษัทเองบางทีก็อาจนำเงินที่ต้องจ่ายไปหมุนใช้ ทำให้เกิดปัญหาการจ่ายช้า จนบางทีก็จ่ายไม่ครบ และไม่ได้ทำความเข้าใจกับแม่ทีมจนนำมาสู่ความเข้าใจผิด หรือบางทีก็ไม่จ่ายและปิดธุรกิจหนีเลยก็มี อยาก ให้ทุกบริษัททำให้ถูกต้องตามกฎหมาย คือรีบ จดทะเบียน และเข้ามาแสดงตัวตนว่าประกอบ กิจการอยู่จริงเท่านั้น แต่ส่วนใหญ่ไม่ค่อยมารายงานตัว ถ้าตรวจสอบแล้วไม่ได้ดำเนิน ธุรกิจอยู่ก็ขอให้ยกเลิกปิดกิจการไป แต่ การไม่จดทะเบียนกับ สคบ. แล้วเปิดดำเนิน ธุรกิจขายตรง ถือว่ามีความผิดตามกฎหมาย"
ทั้งนี้ การจัดงานดังกล่าว เป็นเวทีที่ เปิดขึ้นคล้ายเป็นการจัดสัมมนาสร้างความ รู้ และไขข้อข้องใจระหว่างหน่วยงานภาค รัฐที่กำกับดูแลธุรกิจขายตรงอยู่ ภายใต้ชื่อ งาน "พิธีมอบใบสำคัญการจดทะเบียนประกอบธุรกิจขายตรง และการประชุมสัมมนา เรื่อง แนวทางการดำเนินการของ ผู้ประกอบธุรกิจขายตรง เพื่อรองรับประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน" โดยมี ดร.ไชยรัตน์ ไทยเจียมอารีย์ เลขานุการรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นประธานเปิดงานพร้อมด้วย นายจิรชัย มูลทองโร่ย เลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) และหน่วยงานภาครัฐและเอกชนที่เกี่ยวข้องร่วมงานดังกล่าว ณ ห้องแกรนด์บอลรูม โรงแรมรามาการ์เด้นส์ กรุงเทพมหานคร เมื่อวันจันทร์ที่ 1 เมษายนที่ผ่านมา
โดยการจัดประชุมสัมมนาครั้งนี้ มีการยืนยันรายชื่อบริษัทที่ยังดำเนินธุรกิจ ขายตรงอยู่รวมแล้วทั้งสิ้น 353 ราย โดย ส่วนนี้ สรุปไปเมื่อวันที่ 22 มี.ค. ที่ผ่านมา โดย สคบ.ได้มีการชี้แจงว่า ตัวเลขนี้ยังไม่ใช่ตัวเลขสรุปเรื่องจำนวนบริษัทขายตรง ซึ่งเชื่อว่าจะมีบริษัทขายตรงที่ดำเนิน การประกอบธุรกิจทั้งสิ้นไม่ต่ำกว่า 400 บริษัท โดยบริษัทขายตรงทั้ง 353 บริษัท ต่างตบเท้าเข้าร่วมสัมมนาอย่างพร้อมเพรียงจะขาดก็ไม่กี่บริษัท โดยบริษัทส่วนใหญ่ในจำนวนนี้ล้วนเป็นผู้บริหารระดับสูง เข้าร่วมสัมมนา
โดยเนื้อหาหลักของการประชุม ดังที่ กล่าวมา จะเป็นในเรื่องของตราสัญลักษณ์ สคบ. รวมถึงเรื่องของกฎหมายที่ภาครัฐแสดงเจตนารมณ์ชัดเจนว่าจะพยายามรื้อกฎหมายตัวเก่า แล้วออกกฎหมายตัวใหม่ขึ้นมาบังคับใช้ รวมถึงการตั้งหน่วยงานดูแลธุรกิจขายตรงโดยเฉพาะเพื่อยกระดับอุตสาหกรรมขายตรงอย่างเป็นรูปธรรมในอนาคต