ช่วงไตรมาสที่ 1 ของปีนี้ นับเป็นช่วงเวลาแห่งการทำแต้มต่อระหว่างบริษัทขายตรงด้วยกัน โดยในช่วงเริ่มต้นของปีนี้ นับว่าเป็นช่วงที่มีความสำคัญไม่แพ้ช่วงอื่น เพราะบรรดาบริษัทขายตรง ต้องเริ่มเดินเกมด้วยกลยุทธ์ที่วางไว้ ซึ่งถือเป็นรากฐานของบริษัทในห้วงเวลา 12 เดือน ในการทำธุรกิจ
+ "แอมเวย์" จ้องงาบลูกค้าวัยรุ่น
เริ่มกันที่พี่ใหญ่ของวงการขายตรงบ้านเรา อย่าง บริษัท แอมเวย์ (ประเทศไทย) จำกัด ที่เปิดปีมาก็เริ่มจัดการประชา-สัมพันธ์บริษัท ด้วยการอวดยอดขายของบริษัทตนเองในปีที่ผ่านมา ซึ่งสามารถปิดยอดขายได้ที่ 1.7 หมื่นล้านบาท ตามติดด้วย การโชว์ยอดขาย "อัลติคอร์ อิงค์" บริษัทแม่ของตัวเองว่า โกยยอดขายไปเท่าไหร่ ซึ่งถือเป็นการการันตีความเป็นพี่เบิ้มให้ผู้คน ได้รับทราบ
โดยหลังจากนั้นไม่นาน แอมเวย์ จัดการ เปิดตัวสินค้าใหม่ในกลุ่มผลิตภัณฑ์ด้านความ งาม "อาร์ทิสทรี" โดยจับไปที่เทรนด์ฮิตเรื่องผิวกระจ่างใส ที่กำลังเป็นที่นิยมของหมู่วัยรุ่น รวมไปถึงช่วงอายุวัยทำงาน นี่เป็นสินค้าที่บริษัทส่งเข้าตลาดมาเป็นตัวแรกของปีนี้ ซึ่ง สอดรับกับแผนงานการสร้างกลุ่มลูกค้าของ บริษัทที่ต้องการสร้างเครือข่ายกับคนรุ่นใหม่ มากขึ้น การทำตลาดเพื่อคนรุ่นใหม่จึงส่งผล มาที่สินค้าที่ต้องตอบโจทย์ด้วยเช่นกัน
แอมเวย์ส่งผลิตภัณฑ์ "อาร์ทิสทรี ไอดีล เรเดียนซ์" สินค้าเพื่อผิวกระจ่างใส โดยวางทุนในการทำตลาดไว้ที่ 120 ล้านบาท เพื่อขุนตลาดประชาสัมพันธ์สินค้ากลุ่ม อาร์ทิสทรี ให้สามารถเติบโตจากที่ปีก่อนที่สินค้ากลุ่มนี้ปิดยอดขายที่ 400 ล้านบาท ในปีนี้ บริษัทต้องการให้เพิ่มขึ้นมาอีก 50 ล้าน เป็น 450 ล้านบาท อีกทั้งยังมีการนำนวัตกรรมของการสื่อสารที่เรียกว่า Layer เข้ามา สร้างการรับรู้อีกหนึ่งช่องทาง ซึ่งทั้งหมดถือเป็นการตอบโจทย์กลยุทธ์หาลูกค้ากลุ่มใหม่ได้อย่างลงตัว
+ "กิฟฟารีน" เตรียมงานใหญ่
ข้ามมาที่ขายตรงแบรนด์ใหญ่พันธุ์ไทย อย่างบริษัท กิฟฟารีน สกายไลน์ ยูนิตี้ จำกัด ที่จัดการบอกตัวเลขการเติบโต ของตัวเองไปแล้ว โดยที่ปิดยอดขายในปี 55 ทำรายรับไปกว่า 5.8 พันล้านบาท ซึ่งในปีนี้ จะยังคงเดินหน้าด้วยการสื่อสารผ่านช่องทีวีดาวเทียม ที่บริษัทเนรมิตขึ้นเมื่อปีก่อน โดยใช้งบไปกว่า 50 ล้านบาท
ในช่วงเริ่มต้นของปีนี้ บริษัทยังคงที่จะใช้ช่องดาวเทียมที่ตัวเองมีในการสื่อสารประชาสัมพันธ์อย่างต่อเนื่อง โดยที่จะมีการ จัดงานใหญ่ของบริษัท ที่ถือเป็นการลั่นกลอง รบประจำปีของบริษัท อีกทั้งยังเป็นงานที่จะ ฉลองการก้าวสู่ปีที่ 17 ของตนเอง โดยงาน ใหญ่ครั้งนี้ บริษัทใช้ชื่องานว่า "Giffarine 17l17l17l57000 The Wonder Of Happiness" ซึ่งภายในงานบริษัทจะถือโอกาสเปิดตัวสินค้าใหม่ของบริษัท โดยแว่ว มาว่าจะเปิดตัวสินค้าใหม่ถึง 10 รายการเลยทีเดียว
+ "นีโอ ไลฟ์" อลังการ 13 ปี
ถัดมาที่แบรนด์ไทยอีกแบรนด์ บริษัท นีโอ ไลฟ์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ซึ่งถือเป็นแบรนด์ไทยยักษ์ใหญ่อีกหนึ่งแบรนด์ ที่ลั่นกลองรบด้วยการจัดงานใหญ่ไปเมื่อช่วง กลางเดือนก่อน ภายใต้ชื่อ "NEO LIFE SUCCESS TOGETHER" ซึ่งงานครั้งนี้มีผู้เข้าร่วมงานมากกว่า 5 หมื่นคน โดยยึดอาคารชาเลนเจอร์ เมืองทองธานี เป็นพื้นที่จัดงาน
งานใหญ่ของนีโอ ไลฟ์ จัดได้อย่าง อลังการ อีกทั้งภายในงานยังมีการร่วมเซ็น สัญญาทางธุรกิจ โดยที่บริษัทจับมือกับ ธนาคารไทยพาณิชย์ ในการเนรมิตการ์ดรูดซื้อสินค้าและบริการของบริษัท เพื่อให้สมาชิกมีความสะดวก ไม่ต้องขนเงินจำนวน มากมาจับจ่ายใช้สอยสินค้าและบริการของ บริษัท แต่เพียงมีบัตรนี้บัตรเดียว ก็สามารถ ชำระเงินค่าสินค้า และบริการได้เบ็ดเสร็จ
นอกจากนี้ บริษัทยังมุ่งที่จะเดินหน้าลุยขยายสาขาของบริษัทออกไปตามประเทศ ต่างๆ ในกลุ่มอาเซียนทั้ง 10 ประเทศ เพื่อรองรับการเกิดขึ้นของประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือ AEC ในอนาคต รวมถึงโครง การ "นีโอ สตาร์ โปรเจกต์ 1" ก็ได้ผู้ชนะเลิศ มาเป็นพรีเซ็นเตอร์ของบริษัท นี่คือกลยุทธ์ การสร้างกลุ่มลูกค้ากลุ่มใหม่ของ นีโอ ไลฟ์
+ "นู สกิน" โฆษณาฟรีทีวีครั้งแรก
มาที่บริษัทจากฝั่งอเมริกา อย่าง บริษัท นู สกิน เอ็นเตอร์ไพร์ส (ประเทศ ไทย) จำกัด ที่เปิดปีมา ก็ผุดกลยุทธ์เด็ดเดินหมากด้วยการออกตัวภาพยนตร์โฆษณา เพื่อฉายผ่านสื่อฟรีทีวีเป็นครั้งแรกของบริษัท ภายใต้คอนเซปต์ "เดอะ รียูเนี่ยน" โดยหวัง ให้มีการรับรู้เรื่องแบรนด์ไปสู่สังคมในวงกว้าง
การทำโฆษณาตัวแรกของบริษัทนี้ออกมา นู สกิน ใช้งบการตลาดครึ่งหนึ่ง ของ งบการตลาดทั้งปี คือ 20 ล้านบาท จาก 40 ล้านบาท ซึ่งบริษัทต้องการสร้างแบรนด์ให้ผู้บริโภคได้เห็นสินค้าในกลุ่ม "เอจ ล็อก" ซึ่ง เป็นสินค้าเอกของบริษัท และต้องการทำให้ นู สกิน เป็นแบรนด์สำหรับคนที่ต้องการหยุดอายุผิวให้มีความเปล่งปลั่งยาวนาน
+ เฮโลเปิดตัวสินค้าใหม่ฝุ่นตลบ
บริษัท คังเซน-เคนโก อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ค่ายขายตรงพันธุ์ไทยอีกแบรนด์ที่อาจจะไม่ได้จัดงาน หรือตั้งโต๊ะแถลงข่าวอะไรให้ใหญ่โตในช่วงต้นปีนี้ แต่บริษัทก็ได้ผุดโฆษณาออกฉายผ่านฟรีทีวี ซึ่งเป็นสินค้ากลุ่มบำรุงผิวซึ่งฉายผ่านจอโทรทัศน์ถี่ยิบ ซึ่งถือเป็นการช่วยสมาชิกในการสร้างยอดขายให้กับบริษัท
ถัดมา บริษัท ดี เน็ทเวิร์ค เวิลด์ไวด์ จำกัด ค่ายขายตรงแบรนด์นี้ นับเป็นค่ายขายตรงที่เน้นการประชาสัมพันธ์เรื่องสินค้า ใหม่มาตั้งแต่ปีก่อน โดยจะออกสินค้าใหม่แทบจะทุกเดือน เพื่อให้เกิดความครอบคลุม ความต้องการของผู้บริโภค
โดยที่ปีนี้ บริษัทเปลี่ยนทิศของสินค้า ที่เปิดตัว โดยหันไปเล่นกับกลุ่มเกษตรบ้าง ภายใต้ชื่อสินค้า "บานเย็น" ซึ่งสินค้าตัวนี้ บริษัทต้องการเจาะกลุ่มลูกค้าต่างจังหวัดเป็นสำคัญ อีกทั้งบริษัทยังได้ออก "พ็อกเกตบุ๊ก" ขึ้นมาอีกหนึ่ง โดยหวังให้ผู้บริโภค ได้รู้จักบริษัทมากขึ้น
ฝั่ง "ยูนิซิตี้" ก็ถือเป็นบริษัทขายตรงอีกแบรนด์ ที่จะการเปิดตัวสินค้าใหม่ และเปิดเวทีจัดงานใหญ่ไปพร้อมกัน โดยเป็นสินค้า ในกลุ่มเพื่อสุขภาพ การจัดงานแต่ละครั้งของ บริษัทนั้น จะเน้นไปที่การฉายตัวของกลุ่มดาราผู้มีชื่อเสียง โดยบริษัทพยายามแสดงให้เห็นว่า บรรดาดารา ศิลปิน ผู้มีชื่อเสียงก็ยังทำธุรกิจขายตรงกับบริษัท ซึ่งถือว่าเป็น กลยุทธ์ที่ดี สร้างการเติบโตได้ไม่น้อย
ทั้งนี้ ในช่วงไตรมาสที่ 1 ของปี นับเป็นช่วงเริ่มต้น ที่ใครต่อยก่อน เข้าเป้ากว่า ก็เหมือนมีคะแนนตุนไว้ เพื่อใช้ในการเป็นแต้มต่อในการขับเคี่ยวทำตลาดในช่วง 3 ไตรมาสที่เหลือ ซึ่งต่างฝ่ายต่างอวดของดี สร้างการตลาดในแบบที่ตัวเองถนัด ชี้ให้เห็น ถึงความคึกคัก และแววเดือดของตลาดขาย ตรงบ้านเรา