ปชป.ยกระดับตั้งรัฐบาล ม.7

วันพุธที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

ปชป.ยกระดับตั้งรัฐบาล ม.7


วิเคราะห์การเมือง : by นพคุณ ศิลาเณร

มอบนกหวีดของพรรคประชาธิปัตย์ยกระดับขึ้นอีกเมื่อช่วงหัวค่ำวันที่ 11 พฤศจิกายนที่ผ่าน มา โดยให้ ส.ส. 9 คนลาออกมาร่วมต่อ สู้กับประชาชนจนกว่าจะได้ชัยชนะ

ส.ส.ที่ลาออกประกอบด้วย นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ส.ส.สุราษฎร์ธานี นายถาวร เสนเนียม ส.ส.สงขลา นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย ส.ส.ตรัง นายวิทยา แก้วภารดัย ส.ส.นครศรีธรรมราช นายชุมพล จุลใส ส.ส.ชุมพร นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ ส.ส.กรุงเทพมหานคร นายเอกณัฏฐ์ พร้อมพันธุ์ ส.ส.กรุงเทพมหานคร นายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ กรุงเทพมหานคร และนายอิสระ สมชัย ส.ส.บัญชีรายชื่อ

รวมความแล้ว ส.ส.ทั้ง 9 คนดังกล่าว มาจากภาคใต้ 5 คน กทม. 3 คน และบัญชีรายชื่อจากอีสาน 1 คน หมายความว่า ต้องมีการเลือกตั้งซ่อมอีก 8 คนเข้าแทนที่ตำแหน่งว่างลง

การยกระดับให้ ส.ส.ลาออกเป็นมาตรการกดดันที่รุนแรง ไม่เพียงเท่านั้นนายสุเทพยังเรียกร้องให้ประชาชนผนึกพลัง "อารยะขัดขืน" ด้วยการหยุดงานหยุดเรียนหยุดสอนทั่วประเทศ ชะลอการเสียภาษี ติดธงชาติทุกบ้าน และเป่านกหวีดไล่รัฐมนตรีเมื่อเจอหน้า

การยกระดับครั้งนี้นายสุเทพเชื่อว่า จะได้ชัยชนะและสามารถล้มกฎหมายนิรโทษกรรมได้สำเร็จ แต่กฎหมายฉบับนี้พรรคเพื่อไทยและรัฐบาลถอยจนสุดซอย หนำซ้ำยังประกาศเป็นสัญญาประชาคมว่า จะไม่เสนอเข้าสภาอีก ราวกับเข็ดจนตาย

อาการถอยของเพื่อไทยเมื่อประสาน กับการถอนกฎหมายปรองดองอีก 6 ฉบับ ที่มีเนื้อหาทำนองเดียวกับการนิรโทษกรรม ออกจากสภาหมดสิ้น นั่นสะท้อนถึงความพ่ายแพ้อย่างสิ้นเชิง และนักโทษการเมืองต้องติดคุกอีกนาน

ไม่เพียงเท่านั้น การประชุมวุฒิเมื่อ 11 พฤศจิกายนมี "มติ 141 ต่อ 0" ไม่รับหลักการวาระแรก ดังนั้นกฎหมายนิรโทษ กรรมต้องส่งกลับสภาผู้แทน โดยมีเวลา 180 วันจึงจะหยิบขึ้นมาพิจารณาได้

แต่พรรคเพื่อไทยประกาศว่า ไม่นำกลับมาอีก ปล่อยให้ตกไป นี่คือ อาการถอย สุดซอยของรัฐบาลเพื่อไทย แต่ยังไม่พอใจม็อบนกหวีดของพรรคประชาธิปัตย์จึงยกระดับต่อสู้ประกาศล้มนิรโทษกรรมต่อไป

ความจริงการนิรโทษกรรมล้มไปแล้ว 90% เหลืออีก 10% ต้องรอเวลา 180 วันตามกระบวนการออกกฎหมายของ สภาที่กำหนดกติกาในรัฐธรรมนูญ 2550

จากนี้ไปจนกว่าจะครบ 180 วัน ใน กระบวนการของสภาไม่สามารถทำอะไรได้ นอกจากต้องรอให้ครบ 180 วัน แล้วพรรคประชาธิปัตย์จะเรียกร้องให้ล้มในหนทางใดที่ไม่ต้องรอเวลานานถึง 180 วัน...ไม่มีหนทางอื่นให้ทำอีกแล้ว

ดังนั้น การประกาศล้มกฎหมายนิรโทษกรรมจึงเป็น "เป้าหลอก" มากกว่าความต้องการที่แท้จริง

นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รมช.พาณิชย์ และแกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้าน เผด็จการแห่งชาติ หรือ นปช. ประเมินการยกระดับของพรรคประชาธิปัตย์ว่า มีเป้าหมายอยู่ที่การ "ล้มรัฐบาล"

และที่สำคัญต้องการตรึงม็อบนกหวีดไปสู่สถานการณ์ "อภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลทั้งคณะ" โดยคาดว่าพรรคประชาธิปัตย์จะยื่นญัตติในสัปดาห์หน้า รวมทั้งยื้อเวลากดดันรอ "ศาลรัฐธรรมนูญ" ตัดสินคดีฝ่าฝืนมาตรา 68 กรณีแก้ไขรัฐธรรมนูญให้วุฒิสภามาจากการเลือกตั้งในวันที่ 20 พฤศจิกายนนี้

ในสถานการณ์ปกติ โอกาสที่พรรคประชาธิปัตย์จะล้มรัฐบาลได้มีเพียงพลังจากศาลรัฐธรรมนูญมาเล่นงานพรรคเพื่อ ไทยตามมาตรา 68 แล้วนำไปสู่ "การยุบพรรค" แต่นั่นยังไม่สามารถชิงอำนาจรัฐบาลมาครอบครองได้ดั่งใจหมาย

พรรคประชาธิปัตย์มีความหวังอยู่ลึกๆ เช่นกันว่า ศาลรัฐธรรมนูญจะตัดสินคดีที่เอื้อประโยชน์ต่อพรรค เพราะ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้ทูลเกล้าฯ การแก้รัฐธรรมนูญกรณีวุฒิสภาตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคมแล้ว ถึงขณะนี้เป็นเวลากว่า 43 วันยังไม่ส่งกลับมาเพื่อประกาศใช้บังคับ

นี่คือ สิ่งผิดปกติ และทำให้พรรคประชาธิปัตย์ฮึกเหิม จึงยกระดับม็อบไปเชื่อม ประสานพลังกดดันจากองค์กรอิสระมายำรัฐบาล-เพื่อไทยให้สูญสิ้นอำนาจการเมือง

การล้มรัฐบาลอีกหนทางหนึ่งคือ บีบรัฐบาลให้ "ยุบสภา" เพื่อไปต่อสู้กันในสนามเลือกตั้ง แต่นั่นไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เลยที่พรรค ประชาธิปัตย์จะเอาชนะพรรคเพื่อไทยได้

แม้พรรคเพื่อไทยและรัฐบาลเสียความชอบธรรมทางการเมืองอย่างสูง เกิด ม็อบทั่วสารทิศมาไล่รัฐบาลก็ตาม แต่ในสนามเลือกตั้งแล้วพรรคเพื่อไทยยังคงความได้เปรียบอย่างมากในเขตพื้นที่อีสาน และเหนือ ด้วยเหตุนี้โอกาสชนะในการเลือกตั้งจึงริบหรี่

มีเพียงหนทางเดียวเท่านั้นในการล้มรัฐบาลคือ กดดันให้ทหาร "ยึดอำนาจ" แล้วตั้งรัฐบาลพระราชทาน ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 7 มาบริหารประเทศชั่วคราว แต่นั่นพรรคประชาธิปัตย์ ต้องแลกกับการยุติบทบาททางการเมืองด้วย จึงจะมีโอกาสล้มพรรคเพื่อไทยได้สำเร็จ

อย่างไรก็ตาม เงื่อนไขทหารยึดอำนาจยังไม่มีการการันตีว่าจะปฏิบัติการได้ง่ายๆ ตามความต้องการของพรรคประชาธิปัตย์ บทเรียนจากรัฐประหารเมื่อ 19 กันยายน 2549 ยังตามหลอกหลอนนายทหารใหญ่อยู่ทุกขณะ

หากกองทัพกล้า "ซื้อใจ" กับพรรคประชาธิปัตย์แล้ว โอกาสเกิดแรงต่อต้านจากมวลชนเสื้อแดงมีสูงยิ่ง รวมทั้งสถานการณ์ตั้ง "รัฐบาลพลัดถิ่น" คงเกิดขึ้นตามมา

นั่นเท่ากับเป็นการยกระดับไปสู่การเผชิญหน้าแตกหักเกิดสงคราม "นองเลือด" ระหว่างประชาชนได้อย่างระทึกยิ่งและหวาดเสียวยิ่ง

ทุกหนทางล้มรัฐบาลเพื่อนำไปสู่ "การตั้งรัฐบาลพระราชทาน" นั้น ดูเหมือนไม่ราบรื่น แต่เมื่อพรรคประชาธิปัตย์กระโจนสู่ "การเมืองข้างถนน" และยกระดับไล่รัฐบาลแล้ว คงไม่ได้มุ่งหวังเพียงชัยชนะเล็กๆ เพียงแค่ล้มกฎหมายนิรโทษกรรมอย่างแน่นอน

แต่ในทางยุทธวิธีต่อสู้ทางการเมือง แล้ว เมื่อหนทางไปต่อข้างหน้าเกิด "ตีบตัน" แล้ว การเก็บชัยชนะเล็กๆจากการต่อต้านกฎหมายนิรโทษกรรมยังดีกว่าก่อพลังฮึกเหิมไปสุ่มเสี่ยงกับการ "แพ้ใหญ่" ในอนาคต

เพราะเงื่อนไขกดดันรัฐบาลเริ่มเบา บางลงอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งกฎหมายนิรโทษกรรมถูกล้มคว่ำในสภา และศาลโลกตีความกรณีปราสาทพระวิหารในลักษณะไทยไม่เสียเปรียบ นั่นเท่ากับทำให้พรรคประชาธิปัตย์ก่อม็อบข้างถนนได้ลำบากมากขึ้น

เมื่อพรรคประชาธิปัตย์ดันม็อบไปข้างหน้าโดยไร้เป้าหมายแล้ว โอกาสจบม็อบอย่างยิ่งใหญ่ในชัยชนะย่อมขาดความ ชอบธรรมมากขึ้น อาการดื้อสู้ไปเรื่อยๆ มีโอกาสทำให้กระแส "ไร้ความชอบธรรม" ย้อนกลับมาเล่นงานได้เช่นกัน

สถานการณ์ในอนาคต ถ้าพรรคประชาธิปัตย์ "จบม็อบไม่ลง" โอกาสสุ่มเสี่ยงเกิดแตกหักนองเลือด

หากไม่ใส่ใจ ปล่อยให้อารมณ์ปลุกม็อบเดินไปตามสถานการณ์ "ชั่งหัวมัน" แล้ว สังคมกลียุคยากจะหลีกเลี่ยงได้

ระวัง...พลังอำนาจแบบขาดสติ ย่อมนำพาความเลวร้ายมาสู่สังคมได้เสมอ


บริษัท สมาร์ท โกลด์ มีเดีย กรุ๊ป จำกัด SMART GOLD MEDIA GROUP CO.,LTD. ติดต่อสอบถาม โทร : 0893284192 , ID Line : @siamturakij และ ฝ่ายโฆษณา siamturakijadvertising@gmail.com
© 2013 สยามธุรกิจ