เทพเทือกพลาด!! ลากศาล รธน.มาเดิมพัน

วันเสาร์ที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

เทพเทือกพลาด!! ลากศาล รธน.มาเดิมพัน


วิเคราะห์การเมือง : by นพคุณ ศิลาเณร

จุดสูงสุดของพลังม็อบนกหวีดเกิดขึ้นเมื่อ 11 พฤศจิกายนที่ผ่านมา วันนั้นมีผู้ร่วมชุมนุมหนาแน่น เต็มพรึบถนนราช-ดำเนิน โอกาสปิดบัญชีรัฐบาลและพรรคเพื่อไทยมีแววสดใส

เมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน มีเหตุการณ์ สำคัญเกิดขึ้น คือ หนึ่งศาลโลกตัดสินการตีความคดีเขาพระวิหาร และสองวุฒิสภาพิจารณาร่างกฎหมายนิรโทษกรรมวาระแรก

ทั้ง 2 เหตุการณ์มีผลสรุปไปในทิศทาง "เป็นคุณ" ต่อรัฐบาล กรณีข้อพิพาทเขาพระวิหาร ศาลโลกตีความให้ไทยกับกัมพูชา เจรจาหาทางออกร่วมกันในพื้นที่ขัดแย้ง ส่วนการประชุมของวุฒิสภามีมติคว่ำร่างกฎหมายนิรโทษกรรมในวาระแรก ขั้นรับหลักการ

+ ยกระดับขาดฐานความชอบธรรม

ว่าด้วยที่มาที่ไปของม็อบนกหวีดแล้ว พรรคประชาธิปัตย์ก่อหวอดมาตั้งแต่ 31 ตุลาคมที่สถานีรถไฟสามเสน จากนั้นยกระดับเคลื่อนพลมาปักหลักยึดถนนราชดำเนินเมื่อ 4 พฤศจิกายน เพื่อต่อต้านร่างกฎหมายนิรโทษกรรมโดยเฉพาะ กระทั่งถึง วันที่ 11 พฤศจิกายน จึงได้ชัยชนะเด็ดขาด

แต่พรรคประชาธิปัตย์ไม่คว้าเอาชัยชนะตามต้องการ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ แกนนำม็อบคนสำคัญกลับประกาศยกระดับ การชุมนุมไปสู่ "อารยะขัดขืน" พร้อมๆ กับเลยเถิดถึงขั้นเรียกร้องให้ประชาชนหยุดเรียน หยุดทำงาน หยุดจ่ายภาษี และเป่านกหวีดไล่รัฐมนตรีในวันที่ 13-15 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา

อารยะขัดขืนของนายสุเทพไม่ได้รับการสนองตอบจากประชาชนแทบทุกส่วน องค์กรเศรษฐกิจทุกแห่งไม่หยุดงาน ไม่หยุด จ่ายภาษี นิสิตนักศึกษายังก้มหน้าเรียน ไม่ออกมาชุมนุมตามเสียงเรียกร้องของพรรคประชาธิปัตย์

ราวกับประชาชนร่วมแสดงพลังอารยะขัดขืนย้อนกลับต่อม็อบนกหวีด จนกลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญถึงขั้นพรรคประชาธิปัตย์ซวนเซ และมีโอกาส "แพ้ศึก" ต้องถอนม็อบนกหวีดออกจากถนนราชดำเนินในไม่ช้าก็เร็ว

สาเหตุสำคัญเพราะ นายสุเทพและพรรคประชาธิปัตย์ประเมินพลังล้นหลามถนนราชดำเนินเมื่อ 11 พฤศจิกายนผิดพลาด แล้วคิดเข้าข้างตัวเองแบบฮึกเหิมในชัยชนะ ล้มร่างกฎหมายนิรโทษกรรมได้สำเร็จ จึงได้ใจและพยายามนำพาพลังประชาชนเดินหน้าลุยต่อไปสู่ยุทธศาสตร์ล้มรัฐบาล ไล่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี

ความจริงแล้ว พลังประชาชนที่มาสนับสนุนพรรคประชาธิปัตย์มีเป้าหมายในการล้มร่างกฎหมายนิรโทษกรรม และขัดขวาง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ไม่ให้กลับไทย ประชาชนอาจไม่ได้คิดไปไกลถึง "ล้มรัฐบาล" แต่นายสุเทพคิด พร้อมกับเดินนำหน้าไปไกลแล้ว

ท่าทีล่าสุดของนายสุเทพ เขาเรียกร้องให้ประชาชนหยุดงาน หยุดเรียนมาร่วม ชุมนุมครั้งสำคัญในวันที่ 15 พฤศจิกายน เพื่อร่วมหารือมาตรการยกระดับ "จบเกม" โดยเร็ว

นายสุเทพเล่นกลยุทธ์ยกระดับม็อบนกหวีดมาแล้ว 2 ครั้ง ด้วยการเติมพลังม็อบในเชิงปริมาณ มีริ้วพลเคลื่อนขบวนมาสมทบทุกทิศทางเพื่อล้มร่างกฎหมายนิรโทษกรรม

บัดนี้ เงื่อนไขร่างกฎหมายนิรโทษกรรม ได้ชัยชนะแล้ว พรรคเพื่อไทยยอมแพ้และประกาศสัญญาประชาคมไม่เสนอร่างกฎหมาย นิรโทษกรรมเข้าสภาอีก แต่นายสุเทพกลับนัดแสดงพลังยกระดับครั้งที่ 3 ทั้งๆ ที่ไร้เป้าหมายการชุมนุม

ประเมินกันว่า นายสุเทพเรียกระดมมวลชน หากไม่ประกาศ "เลิก ก็คงลุย" ฝ่าด่านตำรวจไปยึดลานอนุสาวรีย์ ร.5 เป็นที่ชุมนุม เข้าใกล้ทำเนียบรัฐบาลและสภาผู้แทนราษฎรไปอีกขั้นหนึ่ง นี่คือ ศึกแตกหัก มีเดิมพันให้ทหารยึดอำนาจ

เอาเป็นว่า นายสุเทพจะนำม็อบไปทางใดก็ตาม แต่ "ความชอบธรรม" ของม็อบนกหวีดเต็มไปด้วยข้อกังขา ประกอบกับมวลชนมาร่วมชุมนุมเริ่มเบาบางลง นั่นเป็นเพราะเป้าหมายไร้ความแจ่มชัด แต่เต็ม ไปด้วยอารมณ์ไล่รัฐบาลแบบฝูงชนที่ขาดสติ และแสดงออกอย่างขาดปัญญาในข้อเรียกร้อง กดดันรัฐบาล

+ เป้าหมายล้าหลัง

ม็อบบนถนนราชดำเนินมาจาก 3 กลุ่ม แม้ไม่ใช่พวกเดียวกัน แต่มีความสัมพันธ์เป็นแนวร่วมของกันและกัน พลังส่วนใหญ่เป็นม็อบนกหวีดของพรรคประชาธิปัตย์ ปักหลักที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ม็อบกลุ่มกองทัพประชาชนโค่นระบอบทักษิณ (กปท.) มวลชน ส่วนใหญ่มาจากสำนักปฏิบัติธรรมสันติอโศก และม็อบเครือข่ายนักศึกษาประชาชนปฏิรูป ประเทศไทย (คปท.) เผชิญหน้ากับตำรวจตรงสะพานมัฆวานรังสรรค์ ได้รับการสนับสนุนจากสภาประชาชนเพื่อปฏิรูปประเทศไทยของกลุ่มนายสุริยะใส กตะศิลา

การเคลื่อนไหวของม็อบเหล่านี้มีอิสระ ไม่ขึ้นตรงต่อกัน หากส่งผลกระทบถึงกันทั้งในเนื้อหาและเป้าหมายการชุมนุม เมื่อนายสุเทพนำม็อบนกหวีดตั้ง "ศาลประชาชน" ส่วนพล.ต.จำลอง ศรีเมือง นำม็อบ กปท.ถวายฎีกาตั้ง "สภาประชาชน" สำหรับม็อบ คปท.ไม่น้อยหน้าเสนอตั้ง "รัฐบาลพระราชทาน" ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 7

ทุกการเคลื่อนไหวดังกล่าว ล้วนไม่สอดคล้องกับเป้าหมายล้มร่างกฎหมายนิรโทษกรรมทั้งสิ้น เป็นเพียงการแสดงความ อยากล้มรัฐบาลให้หมดจากอำนาจ

นั่นสะท้อนการก่อม็อบได้ชัดเจนว่า จะนำพาประชาชนมาไล่รัฐบาล จึงทำให้ความชอบธรรมในการชุมนุมหมดลง จนส่ง ผลให้มวลชนถอยห่าง สภาหอการค้าไทย และสภาอุตสาหกรรมไทยเรียกร้องให้ทุกกลุ่มยุติการชุมนุมเพื่อป้องกันเศรษฐกิจการค้าได้รับผลกระทบ

เมื่อม็อบบนถนนราชดำเนินทุกกลุ่มหมดความชอบธรรม โอกาส "ชนะ" แทบไม่มีการเคลื่อนไหวทั้งในรหัสยกระดับล้วนเป็นกลยุทธ์เพียงปลุกกระแสเรียกร้องความ สนใจเท่านั้น ความหวังเดียวที่เหลืออยู่กับการล้มรัฐบาล คือ การตัดสินคดีฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญ มาตรา 68 ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญนัด ชี้ขาดในวันที่ 20 พฤศจิกายนนี้

+ เดิมพันศาล รธน.

แนวโน้มขณะนี้ ศาลรัฐธรรมนูญถูกกลุ่มม็อบลากมาพัวพันกับการต่อสู้ทางการเมือง นั่นเป็นเพราะผลงานตัดสินคดีสำคัญ ที่ผ่านมา สะท้อนการใช้เงื่อนไขทางการเมือง มาตัดสินคดี มากกว่าชี้ขาดด้วยระบบ "ยุติธรรม" ด้วยเหตุนี้ศาลรัฐธรรมนูญจึงถูกมองว่า เป็นศาลการเมืองมากกว่าศาลยุติธรรม

ม็อบนกหวีด ม็อบ กปท. และ คปท. ล้วนฝากความหวังว่า การตัดสินในวันที่ 20 พฤศจิกายนนี้ ศาลรัฐธรรมนูญจะเล่นงานพรรคเพื่อไทยให้หมดสิ้นจากระบบการเมือง โดยเฉพาะแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ก็หวาดเสียวกับผลการตัดสินว่าจะออกมาเลวร้ายอยู่ไม่น้อย

กลุ่ม นปช.ภายใต้การนำของนายจตุพร พรหมพันธุ์ นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ และนางธิดา ถาวรเศรษฐ เริ่มปลุกพลังเสื้อแดง ต่างจังหวัดให้เตรียมพร้อมมาชุมนุมที่สนาม เมืองทองธานีในวันที่ 18-20 พฤศจิกายนนี้ การชุมนุมของคนเสื้อแดงมีสัญญาณส่งตรงถึงศาลรัฐธรรมนูญเป็นการเฉพาะ โดยไม่ใส่ใจกับม็อบนกหวีดหรือม็อบต่างๆ บนถนน ราชดำเนิน

ดังนั้น การต่อสู้ครั้งใหม่ในเกมกดดันรัฐบาลจึงอยู่ที่ผลการตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งไม่รู้ว่าจะออกหัวหรือก้อย

ศาลรัฐธรรมนูญคือ ตัวช่วยของม็อบราชดำเนินทุกกลุ่ม เป็นความหวังเพื่อม็อบจะได้จบเกมเร็วขึ้น แต่จะจบแบบฮึกเหิมด้วย ชัยชนะ หรือบอกเลิกราม็อบอย่างง่อยๆ โดยต้องเสีย ส.ส. 9 คนมาเป็นบันไดไต่ลง

วันที่ 20 พฤศจิกายน มีคำตอบให้กับม็อบทุกกลุ่ม


บริษัท สมาร์ท โกลด์ มีเดีย กรุ๊ป จำกัด SMART GOLD MEDIA GROUP CO.,LTD. ติดต่อสอบถาม โทร : 0893284192 , ID Line : @siamturakij และ ฝ่ายโฆษณา siamturakijadvertising@gmail.com
© 2013 สยามธุรกิจ