เพื่อไทย สู้ประคองพรรค รอ เปลี่ยนผ่านใหญ่ ลุ้นชัยชนะ

วันเสาร์ที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

เพื่อไทย สู้ประคองพรรค รอ เปลี่ยนผ่านใหญ่ ลุ้นชัยชนะ


วิเคราะห์การเมือง : by นพคุณ ศิลาเณร

พรรคเพื่อไทยในยามนี้ ถูกมรสุมการ เมืองรุมกระหน่ำจนซวนเซไม่เป็นขบวนนับแต่ถูกพรรคประชาธิปัตย์ ฝ่ายค้านก่อม็อบนกหวีดเรียกชนชั้นกลาง บุคลากรทางการศึกษาหมอ และดารามาชุมนุมบนถนนราชดำเนินต่อต้านร่างกฎหมาย นิรโทษกรรม

ถัดมาศาลรัฐธรรมนูญใช้หลักอภิสิทธิ์ การเมือง "เสียงข้างน้อย" สั่งสอนพรรคเสียงข้างมากอย่างพรรคเพื่อไทยให้ยอมจำนนต่อคำวินิจฉัยการแก้รัฐธรรมนูญว่าด้วย "วุฒิสมาชิก" มาจากการเลือกตั้งว่า ขัดรัฐธรรมนูญมาตรา 68 แต่ไม่มีโทษยุบพรรค

พรรคเพื่อไทยแพ้ราบคาบ และตกที่นั่ง ลำบากทันที

อีกไม่นาน การแก้รัฐธรรมนูญมาตรา 190 และกฎหมายกู้เงิน 2 ล้านล้าน ที่ผ่านสภาไปแล้ว จะถูกยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าขัดรัฐธรรมนูญอีก

สถานการณ์เช่นนี้เป็นช่วงโอกาสทอง ของพรรคประชาธิปัตย์ต้องตามกระหน่ำตีให้เละจนระบอบทักษิณแทบไม่เหลือริ้วรอย ความยิ่งใหญ่

คาดกันว่า แนวโน้มพรรคเพื่อไทยแพ้ อีก และคงเจ็บลึกซ้ำซากทับถมเป็นเท่าทวี

เมื่อไม่มีอะไรต้องสูญเสียมากไปกว่านี้ สำนึกการ "สู้" จึงเริ่มก่อตัวขึ้น แต่เป็นเพียงการสู้เพื่อค้ำยันและประคองพรรคให้รอดจากแรงกดดันที่เตรียมถาโถมเข้าใส่เป็นระลอกคลื่น...ทำได้แค่นี้ ย่อมโชคดีแล้ว

เพราะหนทาง "ชนะ" แทบไม่มีเหลือนอกจากมี "พลังเหนือการเมือง" ยื่นมือเข้ามาช่วยกอบกู้เหตุการณ์เลวร้ายให้ดีขึ้นเท่านั้น

พรรคเพื่อไทยได้แต่เฝ้ารอลุ้นให้สถานการณ์ "เปลี่ยนผ่านใหญ่" ที่กำลังมาถึงไม่พลิกไปจากความน่าจะเป็นในสภาพการณ์ปกตินั่นคือโอกาสเดียวที่จะเปิดเกมรุกตีโต้กลับและมีลุ้นชัยชนะขึ้นมาบ้าง

เมื่อความหวังในอนาคตยังรอลุ้นอีก ย่อมบ่งบอกถึง "ความแน่นอนอาจไม่แน่นอน" ได้เสมอ

เอาเป็นว่า ขณะนี้อาการทางการเมือง ของพรรคเพื่อไทยอยู่ขั้น "โคม่า" และการ "ดำรงอยู่" ต้องวัดดวงกันวันต่อวันแบบริบหรี่

+ จุดอ่อน : กลัวและโลเล

จุดพลิกผันทำให้พรรคเพื่อไทยกลายเป็นเสือลำบากทางการเมือง เริ่มขึ้นช่วงปลายปี 2555 อาการ "โลเลและไม่กล้า" เดินหน้าลงมติแก้รัฐธรรมนูญมาตรา 291 วาระ 3 สะท้อนถึงการถอยแบบไร้กระบวนท่าจนไม่กล้าฝ่าฝืนเสียงเตือนจากคำวินิจฉัย ของศาลรัฐธรรมนูญ

ครั้งนั้น ศาลรัฐธรรมนูญเตือนว่า การแก้รัฐธรรมนูญมาตรา 291 ด้วยการตั้ง "สภาร่างรัฐธรรมนูญ" มายกร่างรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับต้องขอ "ประชามติ" จากประชาชนก่อน แต่ถ้าแก้รัฐธรรมนูญรายมาตราสามารถทำได้

นักวิชาการด้านกฎหมายมหาชน โดย เฉพาะ "คณะนิติราษฎร์" เป็นกลุ่มอาจารย์สอนกฎหมายในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์วิพากษ์คำตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญอย่างรุนแรงว่าก้าวก่ายแทรกแซงอำนาจนิติบัญญัติ พร้อมๆ กับเรียกร้องสภาเดินหน้าลงมติวาระ 3 ให้เบ็ดเสร็จ

แต่พรรคเพื่อไทยถอย ไม่กล้ายืนยัน "ความชอบธรรม" ของสภา แล้วปล่อยให้ การลงมติวาระ 3 ค้างคาอยู่ในสภาจนถึงบัดนี้

อาการไม่กล้าเผชิญหน้ากับศาลรัฐธรรมนูญนั้น พรรคเพื่อไทยย่อมมีเหตุผล เฉพาะ เนื่องจากไม่ต้องการเปิดศึกหลายด้านมาบั่นทอนเสถียรภาพรัฐบาล แต่อยาก ดำรงจำนวนเสียงข้างมากที่แข็งแกร่งในสภาไว้

ในด้านกลับกัน การถอยให้กับอำนาจ อื่นมารุกราน มาสถาปนาอำนาจครอบงำเหนือสภา จึงกลายเป็นความผิดพลาดครั้งใหญ่ แล้วอำนาจเสียงข้างมากในสภาเริ่มถูก ทะลวง และรุกเข้าทำลายความชอบธรรมไปทีละนิดๆ

สิ่งสำคัญ เมื่อความชอบธรรมของสภาถูกบดขยี้หนักเข้า ย่อมลามสู่การโจมตี ความชอบธรรมของรัฐบาลไปด้วย นั่นเท่า กับเสริมสร้างให้เสียงข้างน้อยของพรรคประชาธิปัตย์เริ่มฮึกเหิม มองเห็นจุดอ่อนในความกลัวของพรรคเพื่อไทยที่เอาแต่ปกป้อง อำนาจรัฐบาลŽ จึงเปิดฉากโจมตีรัฐบาลผ่านการทำลายความน่าเชื่อถือของสภาให้ย่อยยับเป็นระลอก

พรรคเพื่อไทยถอย เอาแต่เรียกร้อง "สังคมปรองดอง" พร้อมๆ กับยอมสละความชอบธรรมของสภามาแลกกับเสถียรภาพ รัฐบาลและปกป้อง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ให้รอดพ้นจากการโจมตีของพรรคประชาธิปัตย์ครั้งแล้วครั้งเล่า

เมื่อหลายครั้งเข้า "ความเสื่อม" จึงเกิดขึ้น มวลชนเริ่มถอยห่าง และเบื่อหน่ายพรรคเพื่อไทยกับรัฐบาลมากขึ้น นั่นบ่งบอก ถึงมวลชนเริ่มปล่อยวาง ไร้ความกระตือรือร้นขาดพลังคอยเป็นเกราะคุ้มกันภัยให้

อนาคตรัฐบาลพรรคเพื่อไทยจึงสุ่มเสี่ยง ตกอยู่ท่ามกลางกลเกมการทำลายของพรรคประชาธิปัตย์ล้วนๆ ความย่อยยับ ทางการเมืองค่อยๆ เกิดขึ้นทีละเล็กละน้อย

+ สู้เพื่อประคองพรรค

เมื่อจุดชี้เป็นชี้ตายมาถึง พรรคเพื่อไทยและ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ผู้มีอำนาจเหนือพรรคยังงมงายกับอำนาจเสียงข้างมาก เสนอหักดิบแปลงเนื้อหากฎหมายนิรโทษกรรมมาสนองอารมณ์และเปิดทาง "กลับบ้าน" ได้สะดวกขึ้น แต่พรรคประชาธิปัตย์ก่อม็อบนกหวีดต่อต้าน ประชาชนออกมาชุมนุมบนถนนราชดำเนินล้นหลามเนืองแน่น

พรรคเพื่อไทยกลัวลนลาน ถอยสุดซอย สั่งถอนร่างกฎหมายที่มีเนื้อหานิรโทษกรรมออกจากสภาหมด ประกาศไม่เดินหน้า นิรโทษกรรม

นั่นเท่ากับยอมแพ้ ความชอบธรรมที่เหลือน้อยนิดถูกทำลายจนหมดสิ้น อำนาจ แข็งแกร่งทั้งรัฐบาลและคุมสภาขาดความน่าเชื่อ ตกอยู่ในอาการ "ชนะเลือกตั้ง แต่แพ้ทางการเมือง" เกิดสภาพ "มีอำนาจกลับบริหารสั่งการลำบาก"

สภาพเช่นนี้ บ่งบอกถึงอาการของเสือ ลำบาก หมดเขี้ยวเล็บอำนาจโดยสิ้นเชิง

การประกาศสู้ด้วยสภาพความน่าเชื่อถือ "อ่อนปวกเปียก" เป็นช่วงอารมณ์ "ฮึดสุดท้าย" แบบจนตรอก ที่ถูกศาลรัฐธรรมนูญกระหน่ำตีให้ร่างแก้รัฐธรรมนูญที่มา ส.ว.ขัดรัฐธรรมนูญ จึงเท่ากับเปิดศึกแบบพวกนักเลงหัวไม้ ท้าตีท้าต่อยกับอำนาจ ที่ไม่อยากตอบโต้นั่นเอง

อีกด้านหนึ่ง พรรคเพื่อไทยยังต้องระวังหลังไม่ให้พรรคประชาธิปัตย์ ม็อบนกหวีด และกลุ่ม 40 วุฒิสมาชิกสรรหา โจมตีตลบหลังซ้ำเติมเข้าอีก แต่มาคิดได้เมื่อ สายเสียแล้ว

การดำรงอยู่ทางการเมืองของพรรคเพื่อไทยยามนี้ มีเสียงข้างมาก 265 เสียงคุมสภาไว้ได้ มีอำนาจบริหารแทบเรียกได้ว่า เป็นรัฐบาลพรรคเดียว แต่ในกลเกมการเมือง กลับ "ตั้งรับ" เพียงใช้เสียงข้างมากตะโกนข่มขู่ออกมาดังๆ เท่านั้น

อย่านึกหวังว่า พลังเสียงข้างมากจะเปิดเกมรุกเข้าใส่พรรคประชาธิปัตย์เพื่อนำ ชัยชนะกลับสู่พรรค เพียงแค่ประคองตัวให้อยู่รอดครบวาระ 4 ปี ก็ลำบากเต็มกลืน

+ ลุ้น "เปลี่ยนผ่านใหญ่"

เกมสู้ของพรรคเพื่อไทยในขณะนี้และอนาคตตีบตันทุกหนทาง การออกแถลงการณ์ 9 ข้อเพื่อประกาศ "ไม่ยอมรับ" และโต้กลับศาลรัฐธรรมนูญ เป็นเพียงอาการพิทักษ์ศักดิ์ศรีพรรคการเมืองเสียงข้างมากที่แบกรับเกียรติภูมิของสภาไว้บนบ่าข้างหนึ่ง ส่วนอีกข้างถูกแรงความชอบธรรมของมวลชนบดทับ จนร่างกายพรรคเพื่อไทยขาดความสมดุลในทางการเมือง

การต่อสู้เผชิญหน้าในยามความชอบธรรมเสื่อมทรุดจึงเป็นความยากลำบากที่จะได้ชัยชนะ แต่พรรคเพื่อไทยต้องสู้ตามหนทางแห่งเกมในกรอบสิทธิของรัฐธรรมนูญ 2550 เปิดช่องให้กระทำ

เกมแรกสู้ผ่านมาตรา 270-271 ยื่นถอดถอนตุลาการศาลรัฐธรรมนูญออกจากตำแหน่งด้วยข้อหา "ส่อว่ากระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ในการยุติธรรม ส่อว่าจงใจ ใช้อำนาจหน้าที่ขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญหรือกฎหมาย"

ในเกมนี้ด่านแรก พรรคเพื่อไทยต้องใช้เสียง 1 ใน 4 ยื่นคำร้องต่อประธานวุฒิสภาเพื่อให้วุฒิสภาประชุมถอดถอนตามมาตรา 274 ซึ่งต้องใช้เสียงขั้นต่ำ 3 ใน 5 ของจำนวนวุฒิที่มีอยู่ หรืออย่างน้อยจำนวน 89 เสียงจึงจะบรรลุตามความต้องการ

แต่ไม่ใช่เรื่องง่ายหากประเมินตามขั้นตอน เพราะประธานวุฒิต้องส่งเรื่องให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ทำการไต่สวนข้อกล่าวหา เชื่อแน่ว่า ในขั้นตอนนี้คงถูก "ดองคำร้อง" ไว้เนิ่นนาน แล้วเงียบหายไปพร้อมกับการหมดอำนาจของรัฐบาลพรรคเพื่อไทย

อีกเกมหนึ่ง พรรคเพื่อไทยสามารถเดินเกมสู้ได้ด้วยการนำร่างแก้รัฐธรรมนูญมาตรา 291 มาลงมติวาระ 3 เพื่อเปิดประตู ไปสู่การตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญมารื้อและสร้างรัฐธรรมนูญมาแทนที่รัฐธรรมนูญ 2550 ที่มากด้วยอุปสรรคต่อพรรคเพื่อไทย

หนทางนี้เท่ากับพรรคเพื่อไทยเปิดเกม แตกหักกับศาลรัฐธรรมนูญ และคงยากที่จะประเมินแรงโต้กลับของอำนาจศาลรัฐธรรมนูญให้อีก แต่เมื่อประกาศไม่ยอมรับศาลรัฐธรรมนูญแล้ว ก็ไม่ต้องกังวลกับการโต้กลับใดๆ ทั้งสิ้น

นี่เป็นเกมเผชิญหน้าสุ่มเสี่ยงสู่ "สังคมกลียุค" ทำให้มวลชนสนับสนุนแต่ละฝ่ายออกมาหนุนหลังให้เกิดหน้าแตกหัก...ปัญหาว่า พรรคเพื่อไทยกล้าเล่นเกมแรงนี้หรือไม่

ยังเหลืออีกเกมหนึ่ง คือ ใช้เสียงข้าง มากเสนอแก้รัฐธรรมนูญเพื่อ "ยกเลิกศาลรัฐธรรมนูญ" แล้วตั้ง "คณะตุลาการพิทักษ์ระบอบรัฐธรรมนูญ" ตามข้อเสนอของคณะนิติราษฎร์ขึ้นมาแทนที่

คณะนิติราษฎร์เสนอเช่นนี้ ด้วยเหตุผล "หยุด" การขยายขอบเขตอำนาจของศาลรัฐธรรมนูญออกไปอย่างกว้างขวาง จนกลายเป็นการก้าวก่ายอำนาจอธิปไตยของสังคม และเกิดปัญหารุนแรงไม่สิ้นสุดพรรค เพื่อไทยทำได้ แต่พร้อมและกล้าหรือไม่ ต้อง ถามใจโลเลทางการเมืองให้แน่ชัดเสียก่อน

นั่นคือหนทางรุกของพรรคเพื่อไทยใน สถานการณ์ความชอบธรรมเสื่อมทรุด แต่ทุกเส้นทางเดินกลับกระทำต่อศาลรัฐธรรมนูญทั้งสิ้น ราวกับต่อสู้กับ "อำนาจแห่งอำนาจเงา" อยู่เบื้องหลัง ซึ่งไม่รู้ตัวตนจึงยากกับการต่อกร

แต่ขณะเดียวกัน พรรคเพื่อไทยยังต้องถูกกระทำจากเกมรุกของพรรคประชาธิปัตย์ด้วย แน่ละ ย่อมเป็นเกมชนิดเดียวกัน คือ ด่านแรกต้องผจญกับศึกซักฟอกโจมตีความน่าเชื่อถือเข้าอีก จากนั้นคงถูกยื่นถอดถอนตามเช็กบิลกับ ส.ส.ที่ลงชื่อเสนอกฎหมายนิรโทษกรรมจำนวน 310 คน กับการแก้รัฐธรรมนูญที่มา ส.ว.จำนวน 312 คน

เป็นงานที่พรรคเพื่อไทยต้องเหนื่อยอีกหลายยก นั่นเท่ากับทำให้เกมรุกกลับแทบ หมดเรี่ยวแรงเดินไปสู่ชัยชนะอย่างยิ่ง

ในความหวังเล็กๆ แต่ทรงคุณค่าในอนาคตของพรรคเพื่อไทย คือ แอบลุ้นและ รอให้เกิดการเปลี่ยนผ่านใหญ่ขึ้นในสังคม เพราะการเปลี่ยนผ่านอาจเป็น "ตัวช่วย" มากอบกู้ให้สถานการณ์การเมืองจนสามารถค้ำยันกับแรงต้านได้บ้าง

เพียงแค่ขอแรงค้ำยันเพื่อประคองตัว ให้อยู่ในสภาพ "เสมอตัว" ล้วนเป็นความหวังสูงสุดของพรรคเพื่อไทยแล้ว จากนั้นค่อย "สะสมพลัง" ฟื้นความชอบธรรมกลับมา และอาจโชคดีมีโอกาสได้ชื่นชมชัยชนะทางการเมืองอีกครั้ง

แต่การเปลี่ยนผ่านใหญ่ในขณะนี้ "เหมือนกับแน่นอน" แต่การเผชิญหน้าหนักหน่วงในเกมการเมือง ย่อมทำให้เกิด "ความไม่แน่นอน" ได้เสมอ

สิ่งสำคัญคือ พรรคเพื่อไทยและรัฐบาลจะประคองตัวเองให้อยู่รอดพ้นสิ้นปีนี้ก่อน พร้อมกับลุ้นให้เกิดการเปลี่ยนผ่านใหญ่มาช่วยอีกแรง เพียงแค่คิด หนทาง สว่างราบรื่นข้างหน้า กลับมืดมิดและตีบตัน อย่างหดหู่ยิ่ง


บริษัท สมาร์ท โกลด์ มีเดีย กรุ๊ป จำกัด SMART GOLD MEDIA GROUP CO.,LTD. ติดต่อสอบถาม โทร : 0893284192 , ID Line : @siamturakij และ ฝ่ายโฆษณา siamturakijadvertising@gmail.com
© 2013 สยามธุรกิจ