ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ ไตรมาสสอง ยอดรับรู้รายได้1,675.2ล้านบาท กำไรสุทธิ 351.8 ล้านบาท

วันพุธที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2564

ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ ไตรมาสสอง ยอดรับรู้รายได้1,675.2ล้านบาท กำไรสุทธิ 351.8 ล้านบาท


บริษัท ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด(มหาชน) ประกาศผลประกอบการไตรมาสสอง ปี 2564 มียอดรับรู้รายได้ที่ 1,675.2 ล้านบาท ขยายตัวจากไตรมาสก่อนหน้า 10% และขยายตัวได้จากช่วงเดียวกันของปีก่อน 28%  โดยบริษัทยังคงรักษาความสามารถในการบริหารจัดการต้นทุนต่างๆ ได้ดี ส่งผลให้มีอัตราส่วนความสามารถในการทำกำไรที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรมได้อย่างต่อเนื่อง  โดยในไตรมาส 2 ปี 2564 บริษัทมีกำไรสุทธิที่ 351.8 ล้านบาท คิดเป็นอัตราส่วนกำไรสุทธิที่ 21%  เมื่อเทียบกับกำไรสุทธิจากการดำเนินงานปกติในช่วงเดียวกันของปีก่อน ขยายตัวเพิ่มขึ้น 30%

ทั้งนี้ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท ได้มีมติอนุมัติจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลให้กับผู้ถือหุ้นในอัตราหุ้นละ 0.295 บาท โดยกำหนดวัน Record Date ผู้มีสิทธิรับเงินปันผลในวันที่ 30 สิงหาคม 2564 และจะจ่ายเงินปันผลให้กับผู้ถือหุ้นในวันที่ 10 กันยายน 2564 นี้   ซึ่งเมื่อเทียบกับระดับราคาหุ้นปัจจุบัน คิดเป็น Dividend Yield ทั้งปีที่ราว 6.5%

นายชูรัชฏ์ ชาครกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) ผู้พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ภายใต้คอนเซ็ปต์ “บ้านที่ปลูกบนความตั้งใจที่ดี” กล่าวว่า ในปี 2564 นี้ เป็นอีกปีที่ท้าทายการดำเนินธุรกิจอย่างมาก  เกิดการระบาดของ COVID-19 ระลอกใหม่ในหลายประเทศทั่วโลกรวมถึงประเทศไทย จากสายพันธุ์เดลต้าที่แพร่กระจายได้เร็ว และวัคซีนที่มีในปัจจุบันมีประสิทธิภาพที่ลดลงเมื่อเจอกับสายพันธุ์ดังกล่าว   ในประเทศไทยเกิดการระบาดระลอกสาม ที่เริ่มรุนแรงนับตั้งแต่เมษายน และขยายวงกว้างขึ้นเรื่อย ๆ จนทำให้มีจำนวนผู้ติดเชื้อเกินกว่า 20,000 คนต่อวันในปัจจุบัน ซึ่งได้ส่งกระทบทั้งต่อสังคม และเศรษฐกิจของไทยอย่างรุนแรง  ซึ่งภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ซึ่งเป็นธุรกิจที่เกี่ยวโยงกับภาวะเศรษฐกิจอย่างมาก ก็ได้รับผลกระทบเช่นเดียวกันจากภาวะเศรษฐกิจ

 ในส่วนของลลิลฯ แม้การทำงานจะมีความยากลำบากมากขึ้นจากภาวะตลาดที่ไม่เอื้ออำนวย แต่การที่บริษัทมีการบริหารงานอย่างรัดกุม เน้นทำตลาดในกลุ่มที่เป็นความต้องการซื้อที่แท้จริง (Real Demand) บวกกับการพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้ตรงความต้องการของผู้บริโภคอย่างแท้จริง ในราคาที่คุ้มค่า ช่วยให้บริษัทยังคงสามารถบริหารธุรกิจได้เป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้   โดยในช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้ มียอดรับรู้รายได้แล้ว 3,194.5 ล้านบาท เติบโตจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 25% ซึ่งนับว่าเติบโตได้ดีสวนทางกับสภาวะอุตสาหกรรมที่สอบตัวลง   ในขณะที่บริษัทยังคงบริหารจัดการต้นทุนต่างๆ ได้เป็นอย่างดี สะท้อนในอัตราส่วนความสามารถในการทำกำไรที่ปรับเพิ่มขึ้น  โดยระดับอัตรากำไรขั้นต้น (Gross Profit Margin) ในช่วงครึ่งปีแรกอยู่ที่ระดับ 39.3% เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากช่วงเดียวกันของปีก่อน  ในขณะที่การควบคุมต้นทุนทางด้านการขาย และต้นทุนในการบริหารทำได้ดีขึ้น ส่งผลให้อัตราส่วนค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารต่อยอดขาย (SG&A/Sales) ปรับลดลงจาก 10.1% มาอยู่ที่ 9.3%  ส่งผลให้ในครึ่งปีแรกนี้ บริษัทมีกำไรสุทธิทั้งสิ้น 674 ล้านบาท หรือคิดเป็นกำไรต่อหุ้นที่ 0.73 บาท เมื่อเทียบกับกำไรสุทธิจากการดำเนินงานปกติในช่วงเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 518.5 ล้านบาท คิดเป็นการขยายตัวเพิ่มขึ้น 30% 

สำหรับการขยายธุรกิจ ในปีนี้บริษัทยังคงเดินหน้าลงทุนขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่อง โดยช่วงที่ผ่านมาของปี มีการเปิดโครงการใหม่ไปแล้วทั้งสิ้น 6 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 4,500 ล้านบาท และอยู่ระหว่างเตรียมเปิดโครงการใหม่เพิ่มเติมอีก 2 โครงการ  ซึ่งแม้บริษัทจะมีการขยายการลงทุนอย่างต่อเนื่อง แต่บริษัทมีฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง  บริษัทมีการบริหารความเสี่ยงทางด้านการเงินอย่างรัดกุม โดย ณ สิ้นไตรมาสองนี้ มีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E Ratio) เพียง 0.64 เท่า  ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรมซึ่งอยู่ที่ราว 1.4 เท่าอย่างมาก และหากพิจารณาในแง่ของตัวเลข Net D/E ณ สิ้นไตรมาสสอง อยู่ที่ระดับเพียง 0.28 เท่า สะท้อนความเสี่ยงทางการเงินที่ต่ำ และศักยภาพในการขยายธุรกิจของบริษัท   ทั้งนี้บริษัทเพิ่งประสบความสำเร็จในการออกหุ้นกู้มูลค่า 400 ล้านบาท ที่อัตราดอกเบี้ยคงที่ 3 ปี ที่ 2.90%  โดยในปีนี้มีการออกหุ้นไปแล้ว 2 ครั้ง มูลค่ารวม 1,050 ล้านบาท  เพื่อเป็นการรองรับการขยายธุรกิจของบริษัท



บริษัท สมาร์ท โกลด์ มีเดีย กรุ๊ป จำกัด SMART GOLD MEDIA GROUP CO.,LTD. ติดต่อสอบถาม โทร : 0893284192 , ID Line : @siamturakij และ ฝ่ายโฆษณา siamturakijadvertising@gmail.com
© 2013 สยามธุรกิจ