สุเทพตั้งปณิธานนำม็อบเปลี่ยนประเทศย้อนยุคไปก่อน 2475

วันพุธที่ 04 ธันวาคม พ.ศ. 2556

สุเทพตั้งปณิธานนำม็อบเปลี่ยนประเทศย้อนยุคไปก่อน 2475


วิเคราะห์การเมือง : by นพคุณ ศิลาเณร

นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ผู้นำม็อบโค่นระบอบทักษิณ ทำได้ตามคำพูด คนมหาศาลไหลทะลักมาตามมนต์เสียงนกหวีดสู่ถนนราชดำเนิน จนแน่นเอี้ยด ลามไปถึงสนามหลวง ล้นขึ้นสะพานพระปิ่นเกล้า แล้วข้ามไปถึงแยกอรุณอมรินทร์ฝั่งธนบุรีมีเป็นหย่อมๆ

บ่องตง คนมากจริงๆ...ประเมินว่า ระดับแสนอัพ แต่จะถึงล้านคนหรือไม่ อย่าได้ใส่ใจ เพราะคนมากเช่นนี้บ่งบอกถึงเป้าหมายการยกระดับบรรลุแล้ว... "อัมพร สิทธิผา" หัวหน้าข่าวสยามธุรกิจ ตื่นเต้นกับผู้คนมหาศาล รายงานสรุปสั้นๆ ด้วยวาทกรรมการเมืองอมตะว่า "กงล้อประวัติศาสตร์ได้หมุนไปตามเจตจำนงของมวลมหาประชาชน"

แน่ละ มหาประชาชนหลงมนต์เสียงนกหวีดของม็อบพรรคประชาธิปัตย์เมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา มีค่อนข้างมากเดินทางไกลจากต่างจังหวัด ฝ่าอุปสรรค ตะปูเรือใบโรยถนนขัดขวาง แม้ถูกจ้างมา ถูกเกณฑ์มา หรือมาด้วยวิธีการใดก็ตาม แต่ เป้าหมายของพวกเขา คือ แสดงเจตจำนง ร่วม "ไล่รัฐบาล-โค่นระบอบทักษิณ"

ตลอดทั้งวันนั้น น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี งดภารกิจราชการ พักผ่อนกับครอบครัวที่บ้านซอยโยธินพัฒนา 3 ย่านลาดพร้าว มีตำรวจ 15 กองร้อยคอยคุ้มกันภัยแน่นหนา เมื่อเธอรับรู้เจตจำนงของ คลื่นมหาชนคงหนาวยะเยือก พรรคเพื่อไทย ได้เห็นภาพย่อมสั่นสะท้านกับปริมาณพลังคนสวมเสื้อ "ขาว-ดำ" ทะมึนน่าเกรงขาม

รอยยิ้มปนเล่ห์กลผุดขึ้นบนหน้า "สุเทพ" จำนวนม็อบนับแสนๆคนทำให้ใบหน้าดำคล้ำดูเบิกบาน ดวงตาถลนมีแววปีติ เขาประกาศรุกไล่รัฐบาลให้จนมุม ราวกับเห็นชัยชนะขั้นเผด็จศึกรออยู่เบื้องหน้ารอมร่อ

"สุเทพ" ประกาศว่า ปิดเกมสิ้นเดือนพฤศจิกายน

+ นำประเทศย้อนยุคไปก่อน 2475

"สุเทพ" รุกบดขยี้รัฐบาลที่เขาเชื่อว่า อยู่ภายใต้อำนาจระบอบทักษิณ มาตรการ ขั้นสุดท้ายในวันที่ 25 พฤศจิกายนที่ผ่านมา เร่งระดมมวลชนแบ่งสายเดินเท้า 13 เส้นทาง ไปกองบัญชาทหาร หน่วยงานราชการสำคัญ และสำนักงานสื่อฟรีทีวี เพื่อกดดันให้เลือกข้าง สละหน้าที่ "หยุดงาน" ทำให้รัฐบาลเป็นอัมพาต แต่จราจร กทม.กลับติดขัดลุกลามวินาศสันตะโร

คนมาร่วมม็อบนกหวีดมหาศาล "สุเทพ" ออกอาการฮึกเหิมจนลืมวัยแก่อายุ 64 ปี เขาประกาศ "ไม่หยุดชุมนุม" โดยต่อยอดเป้าหมายไล่รัฐบาลทันทีว่า "ยุบสภา ก็ไม่หยุด ลาออกก็ไม่หยุด เราจะหยุดอย่างเดียวต่อเมื่อระบอบทักษิณหมดสิ้นไป"

ถ้า "สุเทพ" โค่นระบอบทักษิณได้สำเร็จตามต้องการ คำประกาศที่ว่า "สร้างประเทศไทยสำหรับลูกหลาน" จะมีโฉมหน้าแบบใด จึงน่าสนใจอย่างยิ่ง...

หากเชื่อมโยงคำประกาศเมื่อคืน 23 พฤศจิกายนที่ผ่านมา "สุเทพ" ปราศรัยบนเวทีเครือข่ายนักศึกษาประชาชนปฏิรูป ประเทศไทย (คปท.) ตรงแยกนางเลิ้ง เขา ให้ปณิธานต่อมวลชนว่า ต้องเปลี่ยนแปลงประเทศไปสู่การปกครองด้วยระบอบพระมหากษัตริย์ที่สมบูรณ์แบบอย่างแท้จริง

"เราจะหลอมหัวใจด้วยกันเปลี่ยนแปลง ปฏิรูปประเทศไทย ให้เป็นประเทศไทยที่ปกครองด้วยระบอบพระมหากษัตริย์ที่สมบูรณ์แบบอย่างแท้จริง นั่นคือปณิธานของเราของคนไทยทุกคนที่หลอมดวงใจต่อ สู้ในคราวนี้" สุเทพ ให้คำมั่นสัญญา

ถัดจากนั้น นายสุริยะใส กตะศิลา ผู้ประสานงานกลุ่มการเมืองสีเขียว ขึ้นปราศรัยตอกย้ำปณิธานของ "สุเทพ" ว่า นั่นคือ สิ่งที่ "ประชาชนต้องการได้ยินและได้ฟังมากที่สุด"

อาจเป็นได้ว่า "สุเทพ" ตื่นเต้นคนหลายแสนมาม็อบ จึงพูด "ตกหล่น" ในเนื้อหาสาระ แต่ "สุริยะใส" มาสอดรับ จึงสรุปคำพูดเบื้องต้นได้ว่า ผ่านการตกลงไว้เป็นมั่นเหมาะกับปณิธานนำการปกครองย้อนยุคก่อนปี 2475

การปกครองประเทศไทยด้วยระบอบ พระมหากษัตริย์ที่สมบูรณ์แบบเกิดขึ้นมาตั้งแต่ก่อนปี 2475 ซึ่งเป็นรูปแบบการปกครองที่ถูกเรียกว่า "ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราช"

การปกครองแบบนี้ไม่มีเลือกตั้ง ไม่มี ส.ส. อำนาจการปกครองรวมศูนย์อยู่กับ "อำมาตย์" และขึ้นตรงกับสถาบันกษัตริย์ และสวนทางกับระบอบประชาธิปไตยโดยสิ้นเชิง

ถ้าเริ่มจากการปฏิวัติ 2475 ถึงปัจจุบัน นาน 81 ปี เส้นทางประชาธิปไตยไทยมีแต่ขรุขระ การเลือกตั้งไม่เต็มรูปแบบ อำนาจการเมืองเกิดการแย่งชิงระหว่าง "เผด็จการทหารกับประชาธิปไตยเลือกตั้ง"

และเวลา 81 ปี คงนานเกินพอกับการย้อนกลับไปสู่ยุคการปกครองแบบสมบูรณาญาสิทธิราช

แต่ "สุเทพ" ก่อม็อบนกหวีด มีคนชั้นกลาง กทม.ผู้มากการศึกษาให้การสนับสนุน กลับตั้งปณิธานและประกาศสร้างประเทศใหม่ให้ย้อนไปสู่ยุคการปกครองก่อนปี 2475

"สุเทพกับสุริยะใส" รู้ได้อย่างไรว่า ประชาชนต้องการย้อนไปสู่การปกครองภายใต้การควบคุมสั่งการของ "กลุ่มอำมาตย์นิยม" ในรูปแบบสมบูรณาญาสิทธิราช

"สุเทพกับสุริยะใส" รู้ได้อย่างไรว่า คนรุ่นลูกหลานที่เป็นพลังสร้างชาติในอนาคต ต้องการมีการปกครองแบบก่อนปี 2475 และไม่ต้องการระบอบประชาธิปไตย

"สุเทพกับสุริยะใส" ไม่รู้ความต้องการของประชาชน เพียงแต่หาวิธีการให้ได้ชัยชนะเท่านั้น

สงสัยอย่างยิ่งว่า พรรคประชาธิปัตย์ ในยุคนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นหัวหน้าพรรค ไม่ต้องการระบอบประชาธิปไตยเป็นเครื่องมือในการสร้างอนาคตของชาติแล้วหรือ

ดังนั้น อุดมการณ์ "ประชาชน" ย่อมไม่มีอยู่จริงในพรรคประชาธิปัตย์ สิ่งที่ประกาศจึงเป็นเพียงเสื้อคลุมใส่ "อำพราง" จิตใจสนับสนุนเครือข่ายของอำมาตย์นิยม ให้ปกครองประเทศ

หรือ "สุเทพ" และพรรคประชาธิปัตย์ย่อม "หยุดอำนาจชั่วคราว" เพื่อแลกกับการล้มระบอบทักษิณให้สิ้นซาก เก็บกวาดฐานสนับสนุนไม่ให้เหลือเชื้อ

+ กลเกมโค่นระบอบทักษิณ

"สุเทพ" ก่อม็อบนกหวีดมาตั้งแต่ 31 ตุลาคม ถึงขณะนี้ได้เกือบเดือน เริ่มแรกเดินเกมต้านกฎหมายนิรโทษกรรมแล้วยกระดับล้มรัฐบาล จากนั้นประกาศนำพามวลชนนับแสนไปสู่เป้าหมาย "ไล่ตระกูลชินวัตร ขจัดระบอบทักษิณ"

รูปแบบระบอบทักษิณทำให้เชื่อว่า อยู่บนพื้นฐานการ "รวบอำนาจ" ของพรรค การเมืองสนับสนุน พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร แต่พรรคการเมืองนั้น ผ่านเลือกตั้งจากประชาชน และชนะด้วยเสียงข้างมาก ไม่ได้ถูกลากตั้งมาจากกลไกอำนาจของกลุ่มอำมาตย์

คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญกรณี แก้รัฐธรรมนูญเกี่ยวกับ "วุฒิสมาชิกมาจากการเลือกตั้ง" มีเนื้อหาชัดเจน โดยศาลเชื่อว่า ระบอบ "ประชาธิปไตย" คือรูปแบบหนึ่งของระบอบเผด็จการนั่นเอง แต่เป็นเผด็จการเสียงข้างมากจากการเลือกตั้ง

ศาลรัฐธรรมนูญยังเชื่อว่า "เสียงส่วนใหญ่" ที่ผ่านระบบตัวแทนในสภา มาบีบบังคับ "เสียงส่วนน้อย" ฝ่ายอำมาตย์ได้ตามอำเภอใจ

บทสรุปความเชื่อเช่นนี้ บ่งบอกได้ชัดเจนว่า ในมิติสมองของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเห็นว่า "ประชาชนคือเผด็จการ" ระบบเสียงข้างมากกลายเป็น "สภาทาสในระบอบทักษิณ" จึงเป็นรูปแบบการปกครองที่ขัดรัฐธรรมนูญ มาตรา 68

วินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญในท่วงทำนองวาทกรรม "เผด็จการเสียงข้างมาก" "สภาทาส" ได้สอดรับเป็นชุดความคิดเดียวของม็อบนกหวีดที่โหมปลุกอารมณ์ คนชั้นกลางให้ต่อต้าน แล้วนำพาไปสู่เจต จำนงการปกครองเก่าคร่ำครึย้อนยุคไปก่อนปี 2475

ด้วยเนื้อแท้การชุมนุม "สุเทพ" และพรรคประชาธิปัตย์รู้ดีว่า มีจำนวนคนมาก ระดับใดก็ตาม ยังไม่สามารถชี้ขาดกับการโค่นรัฐบาลได้สำเร็จ

ดังนั้น การเดินกลเกมให้เกิดการปกครองของ "ระบอบพระมหากษัตริย์ที่สมบูรณ์ปะทะกับระบอบทักษิณ" เพื่อให้เกิดการเลือกข้าง จึงเป็นอาวุธร้าย ใจอำมหิตของพรรคประชาธิปัตย์ที่เคยชินกับการ "โหนสถาบันกษัตริย์" มาเป็นเครื่องมือทำลายฝ่ายตรงข้ามให้ย่อยยับ แล้วกุมชัยชนะ

ในอดีตพรรคประชาธิปัตย์ทำสำเร็จมาแล้ว ด้วยการโหนสถาบันกษัตริย์ยัดเยียดความผิดให้ "นายปรีดี พนมยงค์" ในคดี "ลอบปลงพระชนม์"

ในปี 2556 "อภิสิทธิ์กับสุเทพ" ถูกตั้งข้อหา "ฆาตกร" แต่สังคมจริตกลับเชื่อการปลุกระดมให้ประชาชนออกมาล้มรัฐบาล จากการเลือกตั้ง ราวกับพวกเขาไม่ต้องการประชาธิปไตย

ในยุค "สนธิ ลิ้มทองกุล" นำม็อบพันธมิตรประชาธิปไตยเพื่อประชาชนขับไล่ "ทักษิณ" ก็โหนสถาบันมาเป็นเครื่องมือการทำลายล้าง ปลุกระดมให้ประชาชนเลือกข้าง และทำได้สำเร็จ เพราะมีอำนาจเหนือประชาธิปไตยคอยบ่งการสนับสนุนอยู่เบื้องหลัง

วันนี้ "สุเทพ" เดินตามรอย "สนธิ" ก่อม็อบโหนสถาบัน แล้วกดดันให้คนเลือกข้างดุจเดียวกัน ดังนั้นโอกาสชนะจึงมีสูง แต่ไม่ได้เกิดจากพลังม็อบ กลับมาจากอำนาจสั่งการเบื้องหลังที่เริ่มเผชิญหน้าชัดเจนในช่วงใกล้ "การเปลี่ยนผ่านใหญ่"

คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญเมื่อ 20 พฤศจิกายนที่ผ่านมา สะท้อนถึงอำนาจ เบื้องหลังได้ค่อนข้างชัด และบ่งบอกถึงการ "รัฐประหารเงียบ" ในรูปแบบใหม่เกิดขึ้นกับรัฐบาลเสียงข้างมากตามระบอบประชาธิปไตยได้ชนิดไม่ต้องหาคำอธิบายอีก

พลังทุกสายโหมเล่นงานรัฐบาล น.ส. ยิ่งลักษณ์ ล้วนเป็น "ขบวนการ" ทั้งสิ้น

+ "ปู" เวลาเหลือน้อย

สายข่าวจากวอร์รูมพรรคเพื่อไทยบอกว่า "ยิ่งลักษณ์สู้" แต่เป็นอาการ "กัดฟันสู้" มากกว่า เพราะไม่มีทางถอยให้เลือกอีกแล้ว

ปัญหามีว่า "สู้กับใคร" ขบวนการใด เนื่องจากสถานการณ์เฉพาะหน้าดูเหมือนไม่ได้สู้กับพรรคประชาธิปัตย์ แต่ไป ปักหลักเผชิญหน้ายืนซดกับศาลรัฐธรรมนูญ โดยเฉพาะ ปล่อยม็อบนกหวีดตะโกนปลุกพลังไปเรื่อย หวังเพียงว่า "เวลา" จะทำให้สถานการณ์ "ฟื้นความชอบธรรม" ได้พลิกกลับมา

แต่การสู้ในกติกากฎหมายย่อมตกเป็นรอง นั่นก็ต้องสู้บนเงื่อนไข "ความเป็นรัฐบาล" ที่มีข้อจำกัด ซ้ำร้ายหนทางแพ้กลับมีมาก

ชัยชนะอันน้อยนิด หากจะเกิดขึ้นย่อมมาจากพลังประชาชนฝ่ายประชาธิปไตย มี "ดวงตาสว่างซ้ำสอง" แล้วผุดยุทธศาสตร์ "แดงล้อมกรุง" ออกมาหนุนช่วยเท่านั้น

แต่เวลาที่จะไปสู่จุดนั้นเหลือน้อยลงไปเรื่อยๆ


บริษัท สมาร์ท โกลด์ มีเดีย กรุ๊ป จำกัด SMART GOLD MEDIA GROUP CO.,LTD. ติดต่อสอบถาม โทร : 0893284192 , ID Line : @siamturakij และ ฝ่ายโฆษณา siamturakijadvertising@gmail.com
© 2013 สยามธุรกิจ