ฉบับที่แล้วอารัมภบทด้วยการนำผู้อ่านไปทำความรู้จักทักทายกับ จุมพล สำเภาพล รองผู้ว่าฯกทม.ป้ายแดงของ "คุณชายหมู" ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ที่คร่ำหวอดงานในกทม.มานานเกือบ 40 ปี เรียกว่าผ่านประสบการณ์มาโชกโชนชนิดที่หลับตาก็รู้ว่าปัญหาของกรุงเทพฯอยู่ตรงไหน จะแก้ปัญหาอย่างไร ต้องเริ่มจากตรงจุดไหน
ว่ากันว่าชีวิตของเขาผู้นี้เป็นยิ่งกว่าในนิยายเสียอีก ใครจะไปคิดว่าจากชีวิตเด็กบ้านนอกเข้ากรุงมาเป็นเด็กวัดจะเติบโตก้าวหน้ามาไกลได้ถึงเพียงนี้ ด้วยความที่เป็นเด็กวัดมาก่อนทำให้เขาได้เรียนรู้ในเรื่องของบุญบาป กระทั่ง กลายเป็นอุปนิสัยชอบการทำบุญ ซึ่งเขาได้เล่าให้ฟังว่ามักทำเป็นประจำทุกปีไม่เคยขาดเพราะมีความรู้สึกว่าจะต้องชดใช้บุญคุณให้กับวัด สถานที่สำคัญที่ทำให้เขามีชีวิตในวันนี้ กระทั่งกลายเป็นขุนพลคู่กายผู้ว่าฯกทม..ในปัจจุบัน
ฉบับที่แล้วเราจบลงในประเด็นเรื่องของพระเครื่องที่ท่านรองผู้ว่าฯกทม.ใช้ติดตัวเป็นประจำซึ่งจะมีด้วยกัน 3-4 องค์ด้วยกัน โดยองค์แรกเป็นพระสมเด็จบางขุนพรหม พิมพ์เส้นด้าย องค์ที่สองเป็น พระหลวงปู่ทวด วัดช้างให้ องค์ที่สามก็คือพระผงของขวัญ หลวงพ่อวัดปากน้ำ รุ่นแรก
แต่ละองค์ที่เอ่ยนามมานั้นต้องบอกว่าล้วนแล้วมีที่มาที่ไปด้วยกันทั้งสิ้น เริ่มจากพระสมเด็จบางขุนพรหม พิมพ์เส้นด้าย รองฯจุมพลเล่าให้เราฟังว่าได้มาเมื่อ 20 ปีที่แล้วจากลุงของภรรยาที่จังหวัดเชียงใหม่ "ลุงของภรรยาผมเขาทำธุรกิจเกี่ยวกับการสร้างพระ ท่านเป็น อีกผู้หนึ่งที่มีฝีมือมากในเรื่องนี้ โดยปกติเวลา หลานๆ ไปกราบท่าน ท่านจะมีพระแจกให้กับ ทุกคน ตอนที่มอบให้ท่านก็บอกว่าให้แล้วต้อง ใส่บูชา ผมเลยแขวนติดตัวมาตลอด 20 ปี"
ส่วนองค์ที่สองคือหลวงปู่ทวด วัดช้างให้ องค์นี้เขาเล่าว่าได้มาเมื่อ 15 ปีที่แล้ว จากญาติที่ทำงานอยู่กรมที่ดินนำมามอบให้ หลังจากที่ได้เลื่อนตำแหน่งขึ้นเป็นผู้อำนวยการกอง และในปีเดียวกันเขาก็ได้พระอีกองค์จากเพื่อนรุ่นน้องซึ่งเป็นนักเลงพระ คือ พระผงของขวัญ หลวงพ่อวัดปากน้ำ รุ่นแรก
ทุกครั้ง ผมจะอาราธนาขอบารมีจาก ท่านให้พลัง รวมถึงกำลังใจในการทำงาน ให้กับชาติบ้านเมือง ให้ผมสามารถฟันฝ่าปัญหาอุปสรรค ทำงานได้อย่างปลอดภัย หลายๆ ครั้งที่เราทำงานก็รู้สึกว่าผู้หลักผู้ใหญ่ให้ความเมตตา ผู้ว่าฯเองก็ให้ความเมตตากับผม ผมเชื่อว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่กับผม ท่านอาจจะมีส่วนช่วยผมด้วยเช่นกัน
ตอนหนึ่งของการสัมภาษณ์รองผู้ว่าฯจุมพลยังได้เล่าถึงประสบการณ์ครั้งสำคัญที่อาจจะเรียกได้ว่าเป็นนาทีแห่งชีวิตที่ทำให้เขาต้องจดจำอย่างมิลืมเลือนสำหรับเหตุการณ์เมื่อครั้งถูกโจรปล้นที่จังหวัดชุมพร เขาเล่าว่า เรื่องดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อปี 2527 ขณะที่เขาและครอบครัวเดินทางกลับบ้านที่จังหวัดนครศรีธรรมราช ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ เขาทำหน้าที่เป็นพลขับโดยมีภรรยานั่งอยู่เบาะหน้า ส่วนเบาะหลังมีน้องๆ 3 ชีวิต นั่งร่วมเดินทางไปด้วย
ช่วงดึกสงัดประมาณสักตีหนึ่งกว่า ขณะที่น้องๆ ทั้ง 3 คนรวมถึงภรรยาผมงีบหลับ จู่ๆ ก็เกิดเสียงดัง ปังๆๆๆๆ!! ทั้งผมและทุกคนที่อยู่ในรถต่างตื่นตระหนกตกใจ และรู้ในทันทีว่าเสียงนั้นคือเสียงปืนที่ไม่ได้ลั่นไกทีละนัด แต่เป็นการรัวกันเป็นชุด เรียกว่าทั้งกระจกหน้า กระจกหลังแตกกระจายเกลื่อนไปทั่วทั้งรถ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นถือว่าเร็วมาก เป็นช่วงรอยต่อระหว่างจ.ชุมพร กับ จ.สุราษฎร์ นอกจากกระจกจะแตกกระจายเกลื่อนแล้ว เป้าที่เห็นชัดเจนคือกระจกส่องหลังหลุด โดยกระสุนเข้าตรงกลางระหว่างตัวผมกับภรรยา แล้วยังทะลุผ่านไปกระจกด้านหลังตรงน้องสาว 3 คนที่นอนหลับอยู่เบาะหลัง เรียก ว่าเฉี่ยวหัวไปอย่างน่าอัศจรรย์
รองผู้ว่าฯกทม.ยังได้เล่าต่อว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่น่าเชื่อว่าเขาจะรอดมาได้ราวปาฏิหาริย์ โดยเฉพาะที่จะลืมไม่ได้เห็นจะเป็น "พระผงของขวัญ หลวงพ่อวัดปากน้ำ" ที่ได้มาจากเพื่อนรุ่นน้องพบว่าไม่มีการแตกหักหรือเสียหายแต่ประการใด ทั้งๆ ที่แขวนไว้ตรงกระจกมองตรงจุดที่โดนกระสุนกราดยิงจนแตกละเอียด
และนี่คืออีกหนึ่งเรื่องราวที่เกิดขึ้นของผู้ชายคนนี้ที่ชื่อ "จุมพล สำเภาพล" รองผู้ว่าฯกทม.กับนาทีแห่ง ชีวิตที่รอดมาได้ราวปาฏิหาริย์ ซึ่งจะมีสักกี่คนที่โชคดีเหมือนเช่นนี้