ฝ่าเปลวเพลิงการเมืองไทย!..

วันพุธที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2556

ฝ่าเปลวเพลิงการเมืองไทย!..


การมีพื้นที่ในการพูดคุยหาทางออกประเทศไทย เพื่อนำไปสู่ความ ปรองดองและตกลงกติกาของบ้านเมืองร่วมกันเป็นสิ่งที่จำเป็นต่อการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งในขณะนี้ แต่ก็เป็นเรื่องยากที่จะหาเวทีที่เป็น กลาง เป็นที่ยอมรับของทุกฝ่าย นอก จากนี้ก็ยังเป็นเรื่องยากในการหาคนกลางที่มีบารมีมากพอ มีจิตใจเที่ยงธรรมเข้ามาประสานเพื่อให้มีการเปิดเจรจากันระหว่างฝ่ายรัฐบาลกับกลุ่มผู้ชุมนุม

นักกฎหมายมหาชนเองก็มีความเห็นแตกต่างกันอย่างมากต่อการตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญกรณีการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่มาของ ส.ว. บ้างก็ว่าเป็นอำนาจศาลรัฐธรรมนูญ บ้างก็ว่าไม่ใช่อำนาจศาล สมาชิกวุฒิสภานั้นควรต้องมาจากการเลือกตั้งอยู่แล้วตามหลักการประชาธิปไตย หากมีการแก้ไขให้เป็นไปตามหลักการดังกล่าว คือ ให้อำนาจประชาชนในการเลือกผู้แทนของเขาโดยไม่ไปแก้ไขกลไกที่อาจทำให้การตรวจสอบถ่วงดุลตามเจตนารมณ์เดิมเสียไป การแก้ไขประเด็นนี้ก็จะไม่มีจุดอ่อนให้สกัดกั้นได้ นอกจากนี้ กระบวนการการแก้ไขก็ต้องทำให้ถูกต้องการเสียบบัตรแทนกัน เป็นการกระทำผิดที่ทำให้กระบวนการในการแก้ไขรัฐธรรมนูญให้เป็นประชาธิปไตยมากขึ้นต้องล่มลง และยังซ้ำเติมต่อปัญหาวิกฤตการณ์ทางการเมืองครั้งนี้ให้หนักหนากว่าเดิมอีก สมาชิกรัฐสภาเหล่านั้นต้องแสดงความรับผิดชอบในทางการเมือง

ความไม่ชอบธรรมของเสียงข้างมากอาจทำให้เสียงข้างมากมีอำนาจน้อย เสียงข้างน้อยมีอำนาจมากได้ ขณะเดียว กันระบอบที่ไม่เป็นประชาธิปไตยและมีอภิสิทธิ์ชนที่มีอำนาจมากกว่าประชาชน ส่วนใหญ่ย่อมทำให้เสียงข้างมากจากประชาชนมีอำนาจน้อยกว่าเสียงข้างน้อยของอภิสิทธิ์ชนได้เช่นกัน ขอให้ประชาชนผู้มีใจเป็นธรรมพิจารณาเอาเองว่า ประเทศไทยของเรามีความโน้มเอียงไปทางไหนมากกว่ากัน

ความขัดแย้งทางการเมืองอย่างรุนแรงในเวลานี้เป็นทั้งวิกฤติและโอกาส ผมไม่อยากพูดถึงวิกฤติและผลกระทบมากนัก เพราะเคยเขียนบทความวิเคราะห์รวมทั้งให้ความเห็นผ่านทางสื่อมวลชนต่างๆ ไปมากแล้ว บทความนี้ จึงขอมองในแง่ โอกาสŽ บ้างว่าเราจะทำอย่างไรต่อสถานการณ์ความขัดแย้งขณะนี้ ผมมองว่าเป็นโอกาสที่เราจะใช้พลังการตื่นตัวของประชาชนและพลังมวลชนทั้งสองฝ่ายในการพลักดันปฏิรูป ประเทศไทยอย่างรอบด้าน และตอกย้ำ จิตสำนึกประชาธิปไตยให้หยั่งรากลึก ทำให้ประชาชนรู้สึกถึงความเป็นเจ้าของ ประเทศ เจ้าของอำนาจอธิปไตย ประชาชนจะตื่นตัวในการปกป้องผลประโยชน์ของเขาเอง ประโยชน์ของส่วนรวม อันจะทำให้ประชาธิปไตยคุณภาพถูกสถาปนาขึ้นอย่างมั่นคง

ข้อเสนอเพื่อหาทางออกจากวิกฤตการณ์ความขัดแย้งทางการเมืองในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ได้มีหน่วยงานทางวิชาการ รวมทั้ง คอป. ได้เสนอทางออกไว้มากมาย ปัญหาวันนี้จึงไม่ได้อยู่ที่การขาดแคลนองค์ความรู้ในการจัดการวิกฤตการณ์ความขัดแย้งอย่างสันติวิธี หากอยู่ทีการปฏิบัติที่เป็นจริง และการเสียสละและเห็นแก่ประโยชน์สาธารณะของแกนนำขั้วความขัดแย้งทั้งหมด ผมคิดว่าสถานการณ์วิกฤตการณ์ ความขัดแย้งจะพัฒนาไปเร็วเกินกว่าการควบคุมได้หากปล่อยให้มีการบาดเจ็บล้มตายนองเลือดจำนวนมาก ภาวะดังกล่าวจะนำประเทศเข้าสู่ "สภาพอนาธิปไตย" และ "สงครามกลางเมือง" ได้ เราจะหลีกเลี่ยงสิ่งเหล่านี้ได้เมื่อใช้ "สติปัญญา" ในการแก้ปัญหามากกว่า "อารมณ์ความรู้สึก" และพึงรำลึกว่าเราทั้งหลายต่างเป็น "เพื่อนร่วมชาติ" "เพื่อนร่วมโลก" หรือ "เพื่อนเกิดแก่เจ็บตาย" ด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น

สำรวจดูรากฐานแห่งความขัดแย้งแล้ว ยังมีความหวังว่าจะแก้ไขได้ง่ายกว่าสังคมอื่นๆ ที่สถานการณ์พัฒนาสู่ "สงครามกลางเมือง" เราพอสรุปปัญหาวิกฤตการณ์ความขัดแย้งในสังคมไทยตลอดช่วง 7-8 ปีที่ผ่านมา ดังต่อไปนี้

1.การปะทะกันของผลประโยชน์ระหว่างกลุ่มทุนใหม่กับกลุ่มทุนอนุรักษนิยม และความสัมพันธ์เชิงอำนาจระหว่างผู้ที่มา จากเลือกตั้ง (ซึ่งถูกกล่าวหาว่าซื้อเสียง) กับพลังอำนาจอนุรักษนิยม (ซึ่งถูกวิจารณ์ ว่าเป็นอภิสิทธิ์ชน เป็นอภิชนาธิปไตย ไม่ใช่ประชาธิปไตย) ความขัดแย้งแบบนี้เป็นภาวะปกติที่เกิดขึ้นในพัฒนาการทางการเมือง เศรษฐกิจ สังคมของทุกประเทศอยู่แล้ว จึงไม่น่าวิตกกังวลมาก หากเล่นในกรอบกติกาและไม่สร้างเงื่อนไขไปสู่ความรุนแรง เป็นการต่อสู้กันระหว่างฝ่ายที่เชื่อว่า ตัวเองเป็นผู้พิทักษ์คุณธรรมความถูกต้อง และคิดว่าตัวเองเป็นฝ่ายธรรมะ โดยกล่าวหาว่าอีกฝ่ายละเมิดต่อคุณธรรมความถูกต้อง และ ถูกโจมตีว่าเป็นฝ่ายอธรรม

ในนิยายผู้แต่งมักสร้างความแตกต่างอย่างชัดเจนระหว่างตัวละครแต่ละตัว ฝ่ายคุณธรรมก็ดีจนเรารู้สึกว่า Too good to be truth ส่วนพวกวายร้ายก็เลวร้ายเหลือประมาณจนไม่เป็นมนุษย์ แต่ในโลกความเป็นจริงไม่ได้มีคนแบบนั้น แต่ "วิญญูชนจอมปลอม" มีให้เห็นเป็นประจำ พวกนี้ภายนอกจะดูดีมีคุณธรรมแต่เบื้องลึกแล้วไม่ต่างจากปุถุชนกิเลสหนา

ในความเห็นของผม (ซึ่งอาจผิดหรือถูกก็ได้) คิดว่า การต่อสู้กันครั้งนี้ไม่ชัดเจน นักว่าเป็นการต่อสู้ระหว่าง "ธรรมะ" กับ "อธรรม" หรือแม้กระทั่งระหว่าง "ประชาธิปไตย" กับ "เผด็จการ" ไม่มีใครกล่าวอ้างได้ว่า ตัวเองเป็นฝ่ายธรรมะ หรือฝ่ายประชาธิปไตย ได้อย่างเต็มปากนัก หากจะสรุปเพื่อแสวงหาเส้นทางแห่งความปรองดอง ก็ต้องบอกว่า เป็นความเห็นต่างกันและจุดยืนต่างกันในเรื่องหลักจริยธรรม และหลักการประชาธิปไตย หากพูดให้ตรงกล่าวนั้นก็คือ การขัดกันแห่งผลประโยชน์ อำนาจ และความเชื่อศรัทธาที่ต่างกัน โดยทุกฝ่ายต้องอ้างหลักการเพื่อสร้างความชอบธรรมในการต่อสู้และตรึงมวลชนของตัวเองเอาไว้ด้วยอุดมการณ์เหล่านี้ อย่างไรก็ตามการกล่าวอ้างว่า ตัวเองเป็นฝ่ายประชาธิปไตย ก็ดี ตัวเองเป็นฝ่ายธรรมะก็ดี สถาปนาตัวเองเป็นผู้ปกป้องสถาบันกษัตริย์ก็ดี ต่อต้านระบอบทักษิณก็ดี ต้องดูตามข้อเท็จจริง การแสวงหาข้อเท็จจริงจึงเป็นส่วนสำคัญของการแก้ปัญหา จะได้รู้กันชัดๆ ว่า ใครเป็นใคร การสร้างความยอมรับและการแสวงหาการอยู่ร่วมกันอย่างสันติระหว่างความเชื่อทางการเมือง ที่แตกต่างกันจึงเป็นเรื่องสำคัญที่จะช่วยลดการเผชิญหน้า

ทางออกของปัญหาการปะทะกันของผลประโยชน์ระหว่าง "กลุ่มทุนใหม่" กับกลุ่มทุนอนุรักษ์" ต้องแก้ไขโดยการปฏิรูปเศรษฐกิจให้เป็นประชาธิปไตย สร้าง กติกาที่ทำให้เกิดการแข่งขันที่เป็นธรรม ลดอำนาจผูกขาด ทำให้เกิดผู้เล่นที่หลากหลายมากขึ้นในระบบเศรษฐกิจ นอกจากนี้ ต้องสร้างวัฒนธรรมที่ยึดถือคุณธรรม ส่วนการนำ "สถาบันกษัตริย์" มากล่าวอ้างเพื่อผลประโยชน์ทางการเมือง ก็ควรมีการแก้ไขมาตรา 112 ให้เหมาะสม

2.การแก้ปัญหานอกวิถีทางประชาธิปไตย โดยเฉพาะผลกระทบต่อเนื่องที่เกิดจากการรัฐประหาร 19 กันยา มีการทำลายระบบนิติรัฐ นิติธรรมอย่างรุนแรง เกิดความเคลือบแคลงสงสัยในระบบนิติธรรมและกระบวนการยุติธรรมที่ถูกสถาปนาขึ้นมาโดย คมช ทางออกของเรื่องนี้คือ การสร้างกลไกไม่ให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองด้วยอำนาจนอกระบบ

3.ปัญหาการใช้อำนาจเกินขอบเขตและการทำลายระบบตรวจสอบ ตลอดจน การทุจริตคอร์รัปชั่นของนักการเมืองที่มา จากเลือกตั้งและข้าราชการระดับสูง ทางออกปัญหานี้คือ ต้องนำผู้ที่ทุจริตคอร์รัปชั่นเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมและต้องมีการลงโทษผู้โกงชาติ

4.บทบาทของศาลยุติธรรม กระบวนการยุติธรรม (ตำรวจ อัยการ ปปช.) ท่ามกลางวิกฤตการณ์ความขัดแย้งถูกตั้งคำถามอย่างหวาดระแวงว่ามีความเป็นธรรมหรือไม่ ระบบสองมาตรฐานของระบบยุติธรรมไทยและการขยายการรับรู้ว่า "ระบบยุติธรรม" ไทยมีปัญหาเรื่องการสร้างความเป็นธรรม ให้เกิดขึ้นอย่างเท่าเทียมกันของคนไทยทุกคนไม่ว่าเขาจะเป็นใคร ใส่เสื้อสีไหน ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า ส.ส. และ ส.ว. ที่ร่วมแก้ไขรัฐธรรมนูญเรื่องที่มาของ ส.ว. มีความผิดตามมาตรา 68 วรรคหนึ่ง คือ เป็นการกระทำเพื่อได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศด้วยวิธีการซึ่งไม่ได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ กระทั่ง ปปช. ประชุมนัดพิเศษรับลูกทันที แม้กระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่มา ส.ว. จะมีปัญหาเสียบบัตรแทนกันของ ส.ส. หากสอบสวนแล้วเป็นจริงตามที่ถูกกล่าวหา ผู้กระทำผิดก็ต้องรับโทษไป ส่วนคำวินิจฉัยหลายประเด็นของศาลรัฐธรรมนูญขัดหลักการประชาธิปไตย ไม่อาจทำได้ และไม่ควรทำให้การแก้ไขรัฐธรรมนูญให้มีความเป็นประชาธิปไตยมากขึ้นตกไปนอกจากนี้ ยังมีนักกฎหมายมหาชนจำนวนหนึ่งมองว่าศาลไม่มีอำนาจรับคดีไว้วินิจฉัยอีกด้วย ขณะที่นักกฎหมาย มหาชนบางส่วนก็บอกว่า รับคดีไว้วินิจฉัย ตกลงเราจะเชื่อใครดี ทางออกของปัญหานี้ คือ การผลักดันให้มีการปฏิรูประบบศาลยุติธรรม และทำให้ระบบตุลาการยึดโยงกับประชาชนมากขึ้น

5.ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและสังคมได้เพิ่มปัญหาความขัดแย้งให้ซับซ้อนยิ่งขึ้นแต่ประเด็นนี้ต้องใช้เวลาในการแก้ไขเป็นเรื่องระยะยาวมากกว่าปัญหาเฉพาะหน้า ปัญหานี้ต้องอาศัยมาตรการหลายอย่างในการสร้างความเป็นธรรม กระจายรายได้ กระจายความมั่งคั่ง (ผมเคยเสนอความเห็นไว้แล้วในบทความเรื่องการปฏิรูปเศรษฐกิจ)

6.การกล่าวอ้างสถาบันกษัตริย์เพื่อผลประโยชน์ทางการเมือง มีการกล่าวอ้างและดึงสถาบันกษัตริย์ให้เข้ามาเกี่ยวข้องกับประเด็นทางการเมือง ทำให้สังคมไทยแตกแยกกันมากขึ้น นอกจากนี้ยังมีการใช้กฎหมายมาตรา 112 มาเป็นเครื่องมือในการกำจัดศัตรูทางการเมืองและโจมตีฝ่ายตรงข้ามว่า ไม่จงรักภักดี และบางทีไปไกลถึงขั้นกล่าวหาว่า ต้องการล้มสถาบันกษัตริย์ ซึ่งเป็นประเด็นอ่อนไหว และสร้างความแตกแยกขัดแย้งให้ร้าวลึกมากขึ้นอีก

7.มีกระบวนการสร้างความเกลียดชังต่อกันอย่างเป็นระบบ และมีการขยายตัวของสื่อเลือกข้างที่มุ่งให้ข้อมูลด้านเดียวเพื่อปลุกระดมมวลชนของตัวเอง มีการเผยแพร่ข้อมูลในลักษณะการโฆษณาชวนเชื่อ (Propa-ganda) มีการผลิตซ้ำและเผยแพร่ซ้ำถ้อยคำที่ก่อให้เกิดความเกลียดชัง (Hate Speech) โดยที่ข้อความเหล่านี้ส่งผ่านทางสื่อสังคมออนไลน์ที่เผยแพร่ได้อย่างรวดเร็วในวงกว้าง

8.ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นนี้เป็นความขัดแย้งที่มีเดิมพันสูง การต่อสู้กันโดยไม่ยอมให้ฝ่ายตรงกันข้ามมีทางถอยหรือจนมุม ย่อมเกิดการต่อสู้แบบสุนัขจนตรอกรุนแรงแตกหัก การถอยคนละก้าวแล้วสานเสวนาเพื่อลดความร้อนแรงของความขัดแย้งจึงเป็นเรื่องจำเป็นเร่งด่วน

ท่านทั้งหลายไม่ว่าจะอยู่ในบทบาท หรือฐานะใดก็ตาม คงต้องช่วยกันคนละไม้คนละมือประคองสถานการณ์ให้ประเทศของเราก้าวข้ามพ้นหลุมดำแห่งวิกฤตการณ์ความขัดแย้งทางการเมืองครั้งนี้ไปให้ได้ครับ


บริษัท สมาร์ท โกลด์ มีเดีย กรุ๊ป จำกัด SMART GOLD MEDIA GROUP CO.,LTD. ติดต่อสอบถาม โทร : 0893284192 , ID Line : @siamturakij และ ฝ่ายโฆษณา siamturakijadvertising@gmail.com
© 2013 สยามธุรกิจ