หญิงแกร่ง! ท่ามกลางอำนาจผุพัง

วันพุธที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2556

หญิงแกร่ง! ท่ามกลางอำนาจผุพัง


วิเคราะห์การเมือง : by นพคุณ ศิลาเณร

ในยามวิกฤติเผชิญหน้ากับม็อบของนายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีต ส.ส. สุราษฎร์ธานี พรรคประชาธิปัตย์ รุกไล่เข้ายึดสถานที่ราชการหลายแห่ง เพื่อทำลาย การบริหารประเทศและบดขยี้ภาวะ "ผู้นำ" ของนายกรัฐมนตรี ให้ย่อยยับป่นปี้

น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีและรมว.กระทรวงกลาโหม ได้แต่สงบนิ่ง เยือกเย็น เรียกร้องเปิดเจรจา ยุติความรุนแรง

อาการ "นิ่งเฉย" ของเธอ ทำให้กองเชียร์นายกรัฐมนตรีร้อนรุ่ม แล้วลามไปตำหนิภาวะผู้นำ ซึ่งมีอำนาจชอบธรรมกลับไม่สู้เพื่อรักษาขื่อแปบ้านเมือง

"สู้" ในความเห็นของพวกฮาร์ดคอร์ คือ ใช้อำนาจรัฐตอบโต้กลับเพื่อเข้าควบคุม สถานการณ์ กดดันเอาสถานที่ราชการกลับคืนมา

แต่การสงบนิ่งเยือกเย็นของ "ยิ่งลักษณ์" ย่อมมีฝ่ายสนับสนุนบางส่วนพยายามทำความเข้าใจว่า เป็นการ "สู้" ในท่วงทำนอง "สงบสยบการเคลื่อนไหว"

"ยิ่งลักษณ์" นิ่งจนกลายเป็น "ยิ่งเฉย" ส่วนม็อบสุเทพกลับคึก เคลื่อนไหวยึดศูนย์ราชการแจ้งวัฒนะ ทำเนียบรัฐบาล และกองบัญชาตำรวจนครบาล (บช.น) ได้เบ็ดเสร็จ

สถานะนายกรัฐมนตรีของ "ยิ่งลักษณ์" แทบหมดความน่าเกรงขาม ไร้สถานที่ทำงาน ขาดแหล่งพำนักบัญชาการ แต่มี "อำนาจ" ตามกติการัฐธรรมนูญ 2550

เธอยังเรียกร้องด้วยเสียงอ่อนแรง ยื่นข้อเสนอเปิดโต๊ะเจรจา เพื่อหลีกหนีการ เสียเลือดเนื้อประชาชน สุเทพปัดมิตรไมตรี ทิ้งไม่ไยดี

+ ยึดกติกาประชาธิปไตย

กว่า 30 วัน นับแต่นายสุเทพก่อม็อบ ต่อต้านกฎหมายนิรโทษกรรมเมื่อ 31 ตุลาคมที่ผ่านมา แล้วยกระดับสู่เป้าหมาย ไล่รัฐบาล กระทั่งกลายมาเป็นประเด็น ล้มระบอบทักษิณ" ในปัจจุบัน

แทบทุกครั้งและนับคำพูดของ "ยิ่งลักษณ์" ได้ เธอเน้นย้ำเสมอว่า ไม่มีระบอบทักษิณ มีแต่ระบอบประชาธิปไตย แต่คำชี้แจงกลับไร้น้ำหนัก ไปถ่วงรั้งความเชื่อฝ่ายม็อบได้

ส่วนม็อบสุเทพรุกกระหน่ำยกระดับ ประกาศ "ชัยชนะ" เรียกร้องข้าราชการ "หยุดงาน" เพื่อเป็นสัญลักษณ์ไม่เอาระบอบทักษิณ กลับมีความน่าเชื่อถือข้าราชการโบกธง เป่านกหวีดแสดงความยินดีเป็นหย่อมๆ กระจายทั่วประเทศ

ในช่วงวิกฤติและเผชิญหน้าเช่นนี้ ไม่มีสาระไปค้นหานิยามความหมายของระบอบทักษิณมาทำความเข้าใจให้เกิดปัญญา เพราะความเชื่อของฝ่ายม็อบขมวด ปมเป็นเอกภาพ โดยชัดเจนว่า เป็นสิ่งไม่ดี ไม่สอดคล้องกับการปกครองของสังคมไทย

สิ่งนี้สะท้อนว่า "ความถูกต้อง" ไม่มีแม้แต่เวลาทำงานให้เกิด "ปัญญา" ดังนั้นความเชื่อจึงกลายเป็นพลังสู่การทำลายล้าง โดยมีเป้าหมายยึดกุมชัยชนะตามชูธงนำ "ขับไล่ตระกูลชินวัตร ล้มระบอบทักษิณ"

ฝ่ายม็อบภายใต้ชื่อใหม่ว่า "คณะกรรมการประชาชนเพื่อเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ อันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข (กปปส)" ยังยึดศูนย์ราชการแจ้งวัฒนะเป็นศูนย์บัญชาการ

ข้อเสนอเดียวของสุเทพหัวหน้าม็อบ คือ กดดันให้ "ยิ่งลักษณ์" คืนอำนาจให้ประชาชน เพื่อเปิดทางไปสู่การตั้ง "สภาประชาชน" และสถาปนา "รัฐบาลประชาชน"

สุเทพชัดเจนมาตลอดว่า ไม่สนใจข้อเสนอ "นายกรัฐมนตรียุบสภาหรือลาออก" แต่ "ยิ่งลักษณ์" ยืนกรานในกติกาของรัฐธรรมนูญ 2550 เช่นเดิมว่า การคืนอำนาจให้ตั้งสภาประชาชนไม่มีช่อง ทางให้ทำได้

หลังพิงเพื่อประคองรัฐบาลของ "ยิ่งลักษณ์" คือ กติกาประชาธิปไตย แต่คมหอกอาวุธของสุเทพกลับเป็น "สภาประชาชน" ซึ่งไร้ช่องทางให้เกิดขึ้นเป็นจริงได้

ดังนั้น จึงไม่แปลกเลยว่า ท่ามกลาง ความขัดแย้งจึงยากต่อการนำไปสู่เงื่อนไข "เจรจา" เพราะหนทางเผชิญหน้าคือ การทำลายล้าง

เป้าหมายสุเทพต้องยึดอำนาจจาก "ยิ่งลักษณ์" แล้วล้มรัฐธรรมนูญเพื่อสร้างอำนาจประชาชนใหม่ให้เกิดสภาประชาชน นั่นเท่ากับต้องแลกมาด้วยข้อหา "กบฏ"

ถึงขั้นนี้แล้ว "ยิ่งลักษณ์" ยังยืนกรานเปิด "เจรจากับหัวหน้ากบฏ" แต่เรี่ยวแรงอำนาจของเธอกลับทรุดอ่อนลงเรื่อยๆ

+ เร่งรุกกดดันหลังเจรจารอบสอง

ระหว่าง "ยิ่งลักษณ์กับสุเทพ" ไม่รู้ใครเป็นฝ่ายเรียกร้องให้ "ผู้บัญชาการเหล่าทัพ" มาตั้งโต๊ะไกล่เกลี่ยความขัดแย้งเมื่อช่วงหัวค่ำวันที่ 1 ธันวาคม ที่ผ่านมาราวกับเป็นการเจรจา 3 ฝ่าย

แต่นั่นคือ ครั้งแรกของทั้งสองฝ่ายได้มาเผชิญหน้ากันเพื่อเจรจาผ่านคนกลาง ที่เป็น "ผู้นำทหาร" สิ่งนี้บ่งบอกว่า ท่ามกลาง วิกฤติอำนาจ "ทหาร" เป็นฝ่าย "ยืนบนภู ดูความขัดแย้ง" รอโอกาสคว้าเอาความชอบธรรมทางอำนาจมาครอง

หากประเมินบทบาททหารผ่านโต๊ะเจรจาระหว่าง "ยิ่งลักษณ์กับสุเทพ" แล้ว ย่อมมองทะลุแก่นอำนาจได้ว่า ระบอบทักษิณที่สุเทพหัวหน้าม็อบต้องการทำลาย นั้น ยังมีอำนาจ "ต่ำชั้น" กว่าระบอบอำนาจ ทหารที่ซ่อนเร้นและซ่อนรูปด้วยอาการ "นิ่งเฉย" อยู่

บทบาทกรรมการกลางของผู้นำทหารเป็นการ "อ่อนข้อ" ของสุเทพจนต้องมาเจรจา เพราะทหารคือ พลังที่สุเทพ ต้องการใช้เพื่อไปสู่การยึดอำนาจรัฐบาล ฉีกรัฐธรรมนูญทิ้งแล้วสร้างสภาประชาชน ขึ้นมาแทนที

"ยิ่งลักษณ์กับสุเทพ" เปิดโต๊ะเจรจากัน ก็เหมือนไม่ได้มีใจหาทางออกอย่างสันติด้วยกัน ข้อสรุปจบลงด้วยไม่มีหนทาง ใหม่เกิดขึ้น คู่ขัดแย้งยังเผชิญหน้ากันจน กว่าพ่ายแพ้ไปข้างหนึ่ง

การเจรจานั้น คงทำให้สถานการณ์ "ยิ่งลักษณ์" ไม่มีอะไรดีขึ้น สำหรับสุเทพแล้ว กลับเกิดประโยชน์อย่างมากมาย เพราะได้รู้ว่า แม้ทหารไม่เอาด้วยกับม็อบ แต่ก็ไม่ได้ยืนเคียงข้างยิ่งลักษณ์

หลังการเจรจา สุเทพกลับฮึกเหิมมากขึ้น ประกาศเดินหน้าล้มระบอบทักษิณ ยกระดับชัยชนะตามเป้าหมาย "ยึดทำเนียบ รัฐบาล สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) และ บช.น" ให้ได้ก่อนถึงวันที่ 5 ธันวาคม ซึ่งทำได้สำเร็จ

ส่วนท่าที "ยิ่งลักษณ์" ยังใช้หลังพิง กติกาประชาธิปไตย แต่ชัดเจนว่า พร้อมยุบสภาหรือลาออกหากม็อบยุติการเคลื่อนไหว

ถึงที่สุดการเจรจาโดยมีผู้นำทหารเป็นตัวกลางไม่ได้เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียว ตามคำประกาศเด็ดเดี่ยวของสุเทพว่า ไม่เจรจาอีก

แล้วการเจรจาครั้งที่สองต้องเกิดขึ้นแบบเงียบเชียบและลับเมื่อเย็นวันที่ 2 ธันวาคมที่ผ่านมา โดยครั้งนี้ไม่มี "ยิ่งลักษณ์" ร่วมเจรจาด้วย เป็นเพียงการเจรจา 2 ฝ่าย ระหว่าง "ทหารกับสุเทพ"

ผลการเจรจา 2 ฝ่ายอยู่ที่การ "ยื่นข้อเรียกต่อกันและกัน" ผู้นำทหารเสนอให้สุเทพยุติการชุมนุมแลกกับการยุบสภา แต่สุเทพกลับยื่นข้อเสนอ "ชวน" ทหารยึดอำนาจโค่นระบอบทักษิณ ตั้งสภาประชาชนขึ้นมาปกครองประเทศ

ผู้นำทหาร "ปฏิเสธสุเทพ" และ สุเทพ ก็ไม่รับประกันข้อเสนอของทหารให้ยุติการชุมนุมก่อนวันที่ 5 ธันวาคมที่ผ่านมา

นั่นเป็นสิ่งสะท้อนพฤติกรรมของ สุเทพ เปลี่ยนไป โดยเลื่อนเวลาประกาศชัยชนะจาก 19.30 น. มาเป็นเวลาสามทุ่มกว่า และยังเปลี่ยนรูปแบบการประกาศจากตั้งโต๊ะราวอ่านแถลงการณ์ของผู้นำแห่งชัยชนะ มาเป็นขึ้นเวทีปราศรัยด้วยอารมณ์เหนื่อยอ่อน แต่ยังมีความร้อนแรง ปลุกพลังความหวังชัยชนะของมวลชน

บัดนี้ หนทางใช้พลังทหารมายึดอำนาจเพื่อตั้งสภาประชาชนตีบตันแล้วเมื่อทหารนิ่งเฉยไม่เล่นด้วย แต่สุเทพยังไม่หมดโอกาสอย่างสิ้นเชิง

โอกาสสุดท้ายจึงอยู่ที่การ "เร่งรุกเผด็จศึก" ยึดทำเนียบรัฐบาล สตช.และ บช.น เพื่อก่อการเผชิญหน้ารุนแรงให้นำไปสู่ "ทหารเปลี่ยนใจ" และได้ประกาศชัยชนะตามเป้าหมายการยึด ส่วนชัยชนะตามยุทธศาสตร์ตั้งสภาประชาชนยังอีกไกล

สุเทพชนะแล้วเมื่อก่อนเที่ยง 3 ธันวาคมที่ผ่านมา เขายึดเป้าหมายซึ่งเป็นสัญลักษณ์ระบอบทักษิณตามความเชื่อได้สำเร็จ แต่เป็นชัยชนะที่ตำรวจย่อมเปิดทาง ไม่ต่อต้าน นี่คือสิ่งผิดปกติที่เกิดขึ้นหลังผลการเจรจา 2 ฝ่าย

ยิ่งลักษณ์ ยังคงนิ่งเงียบ แต่เริ่มแข็งแกร่งขึ้นเมื่อโอกาสยึดกุมกติกาประชาธิปไตยเริ่มมีความหวังขึ้นเล็กๆ

+ ยุบสภาและยึดอำนาจรัฐ

แม้ข้อเสนอ "ยุบสภาหรือลาออก" ถูกปฏิเสธจากสุเทพที่ได้เปรียบในการต่อสู้ แต่ข้อเรียกร้องของนายสมคิด เลิศไพฑูรย์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) ในฐานะประธานที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย (ทปอ.) กลับเสนอให้ยุบสภา โดยแถมเงื่อนไขว่า ตั้งรัฐบาลรักษาการจากคนกลาง

ข้อเสนอยุบสภาเป็นหนทางหนึ่งที่เป็นหลังพิงของยิ่งลักษณ์ในการยุติปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองในสังคมขณะนี้ แต่เงื่อนไขตั้งรัฐบาลคนกลางมารักษาการนั้น ขัดต่อกติกาของรัฐธรรมนูญ 2550

ยิ่งลักษณ์คงต้องเลือก แม้จะเป็นข้อเสนอของเหล่าอธิการบดีมหาวิทยาลัย ที่เป็นแนวร่วมทางอำนาจของสุเทพก็ตาม แต่นั่นเป็นทางออกที่สมน้ำสมเนื้อในยามวิกฤตินี้

แต่สุเทพจะเอาด้วยหรือไม่ โดยเฉพาะข้อเสนอการยุบสภานั้น นำไปสู่ "เกมลวง" เพื่อทำให้เกิด "สุญญากาศทางอำนาจ" ซึ่งเข้าทางสุเทพและม็อบต้องการเป็นช่องเพื่อทะลวงไปสู่แนวคิดตั้งสภาประชาชนอีกหนทางหนึ่ง

ถึงที่สุดแล้ว การยุบสภาย่อมหนีไม่พ้น และยิ่งลักษณ์ต้องตัดสินใจในสถานการณ์ยึดมั่นกติกาประชาธิปไตย อย่างไรก็ตาม หนทางนี้ต้องได้รับการการันตีจากสุเทพด้วยเช่นกันว่า ยุติม็อบกลับไปสู่แนวทางให้ประชาชนเลือกว่า จะเอาระบอบประชาธิปไตยหรืออยากได้สภาประชาชน และรัฐบาลประชาชน ซึ่งไร้โฉมหน้าของ "คนดี" ให้คนรับรู้

หากสุเทพปัดทางลงนี้ทิ้งไป เขายังโหมพลังกดดัน เดินหน้าทำลายความชอบธรรมของนายกรัฐมนตรี เพื่อเปิดโอกาสให้ "พลังอำนาจทหาร" เลือกข้าง ดุจเดียวกับบีบบังคับข้าราชการให้เลือกข้างแล้ว

สิ่งที่สุเทพต้องการให้ทหารยึดอำนาจ อาจมีแรงเหวี่ยงให้เกิดแรงกดดันต่อสุเทพแบบ "ไร้ทางลง" ด้วยเช่นกัน

เป็นแรงเหวี่ยงให้เกิดการเจรจารอบ สามจากพลังอำนาจเหนืออำนาจเรียกมาเคาะหัวให้ "ยุติความขัดแย้ง" แล้วนายกรัฐมนตรียุบสภา ไปต่อสู้ตามกติกาประชาธิปไตย

หนทางเช่นนี้ เกิดได้เสมอหากสุเทพ ยังรุกให้เกิดความรุนแรงเผชิญหน้าในสังคมต่อไป รวมทั้งนายกรัฐมนตรีก็ไม่มีทางออกนอกเหนือไปจากการยึดมั่นกติกาประชาธิปไตย

สิ่งนี้เป็นความเข้มแข็งของยิ่งลักษณ์ ที่สามารถยืนต้านมรสุมกดดันทั้งม็อบของ สุเทพและสุ่มเสี่ยงกับถูก "ยึดอำนาจ" หากพลาดพลั้ง

นี่เป็นความแกร่งของหนทางประชาธิปไตยในยามเผชิญวิกฤติกับพลังจากฝ่าย "ซ่อนรูปเผด็จการ" ภายใต้เสื้อคลุมประชาธิปไตยสมบูรณ์ แต่ชิงชังสิทธิทางการเมืองของประชาชนชนบท

นั่นสะท้อนถึงความสวยงาม แข็งแกร่ง และมั่นคงของคนยึดกุมหนทางประชาธิปไตยที่เคารพสิทธิความเท่าเทียมกันทางการเมืองของประชาชนทั่วประเทศ และรังเกียจการผูกขาดสิทธิทางการเมือง ของชนชั้นกลางในเมืองที่สร้างภาพความเหนือกว่าในทุกช่วงชั้นในสังคม

บัดนี้ สิทธิและความเท่าเทียมทาง การเมืองของคนชนบทเติบโตมากขึ้น จนกลายเป็นแข็งแกร่งให้ "ยิ่งลักษณ์" เข้มแข็งท่ามกลางอำนาจเริ่มเกิดวิกฤติอย่างยิ่ง


บริษัท สมาร์ท โกลด์ มีเดีย กรุ๊ป จำกัด SMART GOLD MEDIA GROUP CO.,LTD. ติดต่อสอบถาม โทร : 0893284192 , ID Line : @siamturakij และ ฝ่ายโฆษณา siamturakijadvertising@gmail.com
© 2013 สยามธุรกิจ