ผ่าแผน "กบฏเทพเทือก"

วันพุธที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2556

ผ่าแผน


วิเคราะห์การเมือง : by นพคุณ ศิลาเณร

การวิเคราะห์นี้ อยู่บนพื้นฐานกติกาประชาธิปไตยของประชาชนทุกคนเท่ากันหมด จึงไม่เป็นกลางและไม่ให้คุณค่ากับม็อบอภิชนาธิปไตยของนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ผู้ก่อความไม่สงบกดดันไล่รัฐบาล โดยทุกครั้งที่ปราศรัยมักปลุก ระดมอย่างเลื่อนลอยว่า เป็น "การปฏิวัติประชาชน" เพื่อขจัดระบอบทักษิณให้สิ้นซาก

ขณะนี้ "สุเทพ" ตกเป็น "ผู้ต้องหากบฏตามหมายจับ" ของศาลอาญา เขาเป็นนักการเมืองมา 34 ปี สังกัดพรรคประชาธิปัตย์และเคยเป็นเลขาธิการพรรค ได้รับเลือกตั้งเป็น ส.ส. สุราษฎร์ธานีครั้งแรกปี 2522 แล้วชนะติดต่อกันเรื่อยมาถึงปัจจุบันรวม 12 สมัย

ชีวิตการเมืองของสุเทพ เติบโตได้ดิบได้ดีจากประชาธิปไตยผ่านเลือกตั้ง เขาดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีถึง 4 สมัย เริ่มจาก รมช.กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ปี 2529 และปี 2535 จากนั้นเลื่อนขั้นขึ้น รมว.กระทรวงคมนาคม ปี 2540 และ ล่าสุดนั่งเก้าอี้อำนาจรองนายกรัฐมนตรี ด้านความมั่นคงปี 2551 แล้วกลายเป็นฝ่ายค้านนับตั้งแต่พรรคประชาธิปัตย์แพ้เลือกตั้งปี 2554 ถึงปัจจุบัน

ช่วงครองอำนาจรัฐมนตรี สุเทพไร้ผลงานด้านบวกอันโดดเด่น ตรงกันข้ามกลับถูกตรวจสอบหลายผลงาน ที่ฮือฮาคือ การแจกที่ดิน สปก. 4-01 ให้ คนรวย ซึ่งไม่มีสิทธิ์ได้รับ รวมทั้งกรณีเปลี่ยนแปลงการประมูลก่อสร้างโรงพักตำรวจทั่วประเทศมูลค่าเกือบ 6 พันล้านบาท ให้มีบริษัทรับเหมาเพียงรายเดียว แต่ทุกข้อกล่าวหาเขามักยืนกรานเสมอว่า ไม่ได้ทำผิด

ในงานการเมือง สุเทพได้รับข้อหาคดีอาญาฉกาจฉกรรจ์ มีโทษประหารชีวิต ถึง 2 คดี คือ ตกเป็นฆาตกรจากเหตุการณ์ ล้อมปราบประชาชนตายเกือบ 100 ศพ เมื่อเมษายน-พฤษภาคม 2553 และล่าสุด เป็นผู้ต้องหากบฏก่อม็อบไล่รัฐบาล เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงการปกครอง

นับแต่ปี 2538 เป็นต้นมา พรรคประชาธิปัตย์ที่สุเทพสังกัดแพ้เลือกตั้งติดต่อกันนานถึง 18 ปี สมควรกล่าวว่า ชาวบ้านในชนบทยกเว้นกรุงเทพฯ โดยเฉพาะภาคเหนือและอีสานไม่นิยมพรรคนี้ แต่ในช่วงดังกล่าวกลับได้รับการสนับสนุนจากกลุ่มอำนาจอภิสิทธิ์ชนและกองทัพให้ตั้งรัฐบาลถึง 2 สมัยในปี 2540 และปี 2551

ยิ่งเมื่อ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นักธุรกิจสื่อสารเศรษฐีรุ่นใหม่เข้าสู่การเมือง ก่อตั้งพรรคไทยรักไทยและลงเลือกตั้งปี 2544 กระทั่งปัจจุบัน ความนิยมของพรรคประชาธิปัตย์มีแต่ตกต่ำ แพ้เลือกตั้งแบบขาดลอยทุกสมัย รวมทั้งในอนาคตยังมองไม่เห็นชัยชนะเหนือพรรคเพื่อไทยจากสนามเลือกตั้งทั่วไป

ดังนั้น การก่อม็อบข้างถนน โดยมุ่งกดดันให้ "ล้มระบบเลือกตั้งทั่วไป" แล้วแต่งตั้งสภาประชาชนมาสร้างกติกา แบบฉบับประชาธิปไตย "กลุ่มอาชีพ" จึงเป็นการดิ้นรนของสุเทพและพรรคประชาธิปัตย์ที่มุ่งหวังจะกลับมาเป็นผู้ชนะทางการเมืองอีกครั้งหนึ่ง

+ ผู้นำม็อบก่อกบฏ

สุเทพอายุ 64 ปี กว่าครึ่งชีวิตเป็น นักการเมืองจากการเลือกตั้ง เขาไม่เคย เป็นนักเคลื่อนไหวภาคประชาชนมาก่อน ปัจจุบันลาออกจาก ส.ส.มาก่อม็อบข้างถนนไล่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ด้วยข้อหาเป็นเครือข่ายอำนาจ ระบอบทักษิณ

จุดเริ่มต้น ก่อม็อบต่อต้านร่างกฎหมายนิรโทษกรรมจนประสบชัยชนะ แต่เมื่อสภาผู้แทนราษฎรและพรรคเพื่อไทยประกาศไม่รับเขตอำนาจการตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญกรณีวินิจฉัย การแก้รัฐธรรมนูญว่าด้วยวุฒิสมาชิก มาจากการเลือกตั้งว่า ขัดมาตรา 68 สุเทพจึงยกระดับม็อบไปสู่การโค่นระบอบทักษิณทันที...นี่คือเกมจริงที่เล่นจนป่วนในขณะนี้

สุเทพก่อม็อบข้างถนนมานานกว่า 30 วัน โดยไม่รู้ว่าจะยุติเมื่อใด กำลังสนับสนุนเขามีมากเป็นประวัติศาสตร์การชุมนุมของไทย ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มชนชั้นอำมาตย์ คนชั้นกลางกรุงเทพฯ นักวิชาการ สถาบันการศึกษา และจากฐานเสียงภาคใต้

ม็อบถูกยกระดับหลายระลอก โดยแบ่งกำลังโหมแรงฝ่าด่านตำรวจเข้ายึดทำเนียบรัฐบาล กระทรวงการคลัง ศูนย์ราชการแจ้งวัฒนะ และกองบัญชาการตำรวจนครบาลได้สำเร็จ หนำซ้ำยังยุยงปลุกปั่นข้าราชการหยุดทำงานเพื่อกดดันให้ "ยิ่งลักษณ์" คืนอำนาจไปสู่การแต่งตั้งสภาประชาชน ซึ่งไม่ได้มาจากการเลือกตั้งอย่างเท่าเทียมกันของ ประชาชน

สภาประชาชนที่สุเทพเน้นย้ำเสมอนั้น แม้ไม่มีความชัดเจน แต่ ดร.วรเจตน์ ภาคีรัตน์ เรียกว่า "สภาอภิสิทธิ์ชน" เพราะเกิดจากความเชื่อพื้นฐานว่า คนไม่เท่าเทียมกันทางการเมืองกลุ่มอภิสิทธิ์ชนเท่านั้นจึงสมควรมีอำนาจปกครองเหนือกว่าเสียงของชาวบ้านต่างจังหวัด

หลายครั้งสุเทพปลุกขวัญมวลชน ด้วยชัยชนะ เขาเลื่อนวันประกาศชนะศึกโค่นรัฐบาลยิ่งลักษณ์จากสิ้นเดือนพฤศจิกายนไปเป็นวันที่ 1 ธันวาคม แล้วขยายไปถึงวันที่ 4 ธันวาคม แต่กระทั่ง บัดนี้วันแห่งชัยชนะยังไม่เป็นจริง และคงมิอาจรู้ได้ว่า จะเป็นจริงหรือไม่ในวันใด แต่ข้อหากบฏมีหมายจับอายุความ 20 ปี นั่นเป็นของจริงที่ได้รับจากศาลอาญา

+ แผนยึดอำนาจ

เมื่อสุเทพหมดมุกยกระดับม็อบ เขาจึงเปิดแนวทางตั้งสภาประชาชนขึ้น โดยใช้กระบวนการตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 3 กับมาตรา 7

มาตรา 3 ระบุว่า "อำนาจอธิปไตย เป็นของปวงชนชาวไทย พระมหากษัตริย์ ผู้ทรงเป็นประมุขทรงใช้อำนาจนั้นทางรัฐสภา คณะรัฐมนตรี และศาล ตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้"

มาตรา 7 ระบุว่า "ในเมื่อไม่มีบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้บังคับแก่กรณี ใด ให้วินิจฉัยกรณีนั้นไปตามประเพณีการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข"

รวมความแล้วทั้ง 2 มาตรา ดังกล่าว มีความสัมพันธ์กับขอบเขตอำนาจของพระมหากษัตริย์ในช่วงเกิดวิกฤติ และเมื่อบทบัญญัติรัฐธรรมนูญไม่มีทางออก จึงต้องพึ่งพระราชอำนาจกษัตริย์มาแก้ไขปัญหาให้ยุติสงบสุข

โปรดคิดให้หนักกับ "ข้อความเน้นและขีดเส้นใต้" นั่นราวกับเป็น "รหัส" ไปสู่การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองที่สุเทพต้องการ ดังนั้น หนทางสู่การแต่งตั้งสภาประชาชนและรัฐบาลประชาชน จึงต้องผ่านการกดดันให้ "รัฐสภากับคณะรัฐมนตรี" เกิด "สุญญากาศ" ทางอำนาจเสียก่อน

สุเทพบอกว่า จะขอ "พระราชทานอำนาจ" ตามมาตรา 7 แต่สิ่งที่เขา ไม่ได้บอกคือ จะก่อสถานการณ์ให้เกิด "สุญญากาศ" โดยยกระดับม็อบกดดันให้เกิดความปั่นป่วนถึงขั้นรุนแรงเพื่อนำพาสถานการณ์ไปสู่จุดมุ่งหมายที่ต้องการ

นี่คืออันตรายและน่ากลัวอย่างยิ่งยวดกับแผนสร้างสถานการณ์ปั่นป่วนถึงขั้นวิกฤติ

แผนหนึ่ง เดินไปตามกรอบรัฐธรรมนูญปกติ โดยใช้พลังม็อบกดดันให้ "นายกรัฐมนตรียุบสภา" ตามข้อเรียกร้องของ ดร.สมคิด เลิศไพฑูรย์ อธิการบดี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และดร.สุรพล นิติไกรพจน์ อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ รวมทั้งอธิการบดีมหาวิทยาลัยหลายแห่งส่งเสียงเชียร์อื้ออึง ขณะนี้

แผนนี้ราวกับมีเจตนาดีหาทางช่วยรัฐบาลแก้ไขวิกฤติม็อบ แต่ในด้านลึกแล้วเป็น "การตีสองหน้า" ประสานกับสุเทพที่ขึงพืดไม่ยอมรับการยุบสภา

นี่คือ "กลเกมลวง" ให้ยิ่งลักษณ์เข้ามุมอับมาอยู่ในสถานะ "นายกรัฐมนตรีรักษาการ" จากนั้นกระหน่ำรุกซ้ำสองด้วยคมหอกพิฆาตจากคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ตัดสินคดีถอดถอนยิ่งลักษณ์เพื่อไปสู่ "การหยุด" ทำหน้าที่นายกรัฐมนตรีรักษาการ

เมื่อทุกอย่างเข้าทางเกม สุเทพจึงนำม็อบยกระดับอีกระลอกด้วยการอ้างหลักการ "โคมลอย" ปลุกปั่นกดดันให้นายกรัฐมนตรีรักษาการ "ลาออก" เพราะขาดความชอบธรรม นั่นเท่ากับส่งผลสะเทือนถึง "คณะรัฐมนตรีรักษาการ" ต้องออกทั้งคณะ

รวมทั้งเกิดขบวนการสร้างสถานการณ์ "ห้ามเลือกตั้ง" ขึ้น และแล้วจุดมุ่งหมายของเกมไล่ล่า "สุญญากาศ" จึงเกิดขึ้นเป็นจริง เนื่องจากไม่มีคณะรัฐมนตรี แต่เหลือเพียง "วุฒิสภาบางส่วน" ทำหน้าที่รัฐสภานั่นเท่ากับหนทางสู่ "รัฐบาลพระราชทาน" และวุฒิสภาในฐานะรัฐสภาของดใช้รัฐธรรมนูญบางมาตราเกี่ยวกับการเลือกตั้ง

สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นกระบวนการซับซ้อนเพื่อไปสู่การสร้างเงื่อนไขให้เข้ามาตรา 7 นอกจากนี้ ยังบ่งบอกถึงโอกาสแต่งตั้งสภาประชาชนย่อมมีความ เป็นไปได้ตามแผนจัดฉากอยู่เบื้องหลังของกลุ่มอภิสิทธิ์ชน

หากแผนผิดพลาด ยังมีแผนสองรองรับโดยเพิ่มอารมณ์โหดอำมหิตครบเครื่องในการสร้างสถานการณ์

แผนสอง เมื่อสุเทพและกลุ่มอภิสิทธิ์ชนมุ่งถึงชัยชนะเป็นหลักการสร้างสถานการณ์กดดันให้ "ทหารยึดอำนาจ" ย่อมจำเป็นต่อการเผด็จศึก ยิ่งลักษณ์ให้ราบคาบ

แม้ทหารชั่วโมงนี้อยู่ในอาการ "นิ่งเฉย" เฝ้ารอไกล่เกลี่ยความขัดแย้ง แต่การสร้างเหตุการณ์รุนแรงย่อมบีบกดให้ทหารเปลี่ยนท่าทีมาตัดสินใจ "ยึดอำนาจ" ก่อนเกิดสงครามนองเลือด สังคมเกิดกลียุค

การสร้างสถานการณ์รุนแรงเริ่มปรากฏขึ้นตั้งแต่การเดินเกมตามแผนหนึ่ง แต่โหมให้หนักมือขึ้น เพิ่มอารมณ์ป่วน แบบอำมหิตจนทหารสุดนิ่งดูดายได้

แม้ทหารเข็ดขยาดจากการทำรัฐประหารเมื่อปี 2549 แต่เมื่อความขัดแย้งเผชิญหน้าไร้ทางออกวิกฤติสังคมทรุดฮวบจมดิ่งสู่ความหายนะ ย่อมมีกำลังทหารบางกลุ่มเกิดความฮึกเหิม บ้าคลั่งได้ก็ตาม

รวมความแล้ว ภายในใจสุเทพคง มีคุณธรรมอยู่บ้าง เขาอาจมุ่งหวังเก็บชัยชนะให้ได้ตามแผนเผด็จศึกแรก แต่นั่นไม่ใช้สิ่งทำได้ง่ายๆ เพราะรัฐบาลย่อม อ่านเกมออก ยิ่งลักษณ์อาจมองทะลุถึง วิกฤติข้างหน้า และมีแผนรับมือไว้ค้ำยัน ไม่ให้สถานการณ์เลวร้ายหนักขึ้นไปอีก

+ ยิ่งลักษณ์สู้เพื่อจบเกม

ทุกแผนของสุเทพจะสำเร็จหรือไม่อยู่ที่ความแกร่งและความเข้มแข็งของยิ่งลักษณ์มีน้ำอดน้ำทนมากน้อยเพียงไร เพราะอำนาจนายกรัฐมนตรีคือ กุญแจสำคัญที่กลุ่มอภิสิทธิ์ชนต้องการไขไปสู่เงื่อนไขมาตรา 7

ยิ่งลักษณ์เริ่มเปิดเกมสู้เช่นกัน โดยเปลี่ยนให้นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รมว.กระทรวงการต่างประเทศมาคุมม็อบแทนที่และประสานกับพล.ต.อ.ประชา พรหมนอก รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง

การเปลี่ยนนายสุรพงษ์ นั่นสะท้อน ถึงการเดินเกมระดับ "ต่างประเทศ" ให้มาจับตาม็อบอีกทางหนึ่งตามแผน "โลกล้อมม็อบ" ประกอบกับ พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร สามารถบัญชาเกมอยู่ต่างประเทศได้คล่องตัวอีกด้วย

การสู้ของยิ่งลักษณ์ใช้หลังพิงกติกาประชาธิปไตยและเดินเกมยาว ก่อนไปสิ้นสุดที่ยุบสภา ต้องเกิดการเลือกตั้งใหม่ให้เป็นจริง

เกมยาวของยิ่งลักษณ์อยู่ที่การระดมสมองจากหลายส่วนมาช่วยกันหาทางออกของบ้านเมืองมาเป็นตัวกลาง ไกล่เกลี่ยระหว่างม็อบกับรัฐบาล และพรรคประชาธิปัตย์ จนเกิดพันธสัญญา เป็นรูปธรรมให้สังคมรับรู้ว่า การยุบสภา คือทางออกเพื่อจบเกมของทุกฝ่าย

ตลอดเดือนธันวาคมเป็นต้นไป คณะกรรมการไกล่เกลี่ยความขัดแย้งจะได้ทำหน้าที่รอมชอม โดยผสมผสานความต้องการของสุเทพ ไปสู่การแก้รัฐธรรมนูญเพื่อยุติปัญหาอย่างสันติหากเกมนี้สุเทพยังปัดทิ้งอีก กระแสรัก สันติของประชาชนจะก่อหวอดขึ้นมา ตีกลับกระหน่ำม็อบให้เสียความชอบธรรม

นั่นสะท้อนว่า ข้อหากบฏตามหมายจับจะเล่นงานคนแก่ช่วงวัย ไม้ใกล้ฝั่ง...มันเป็นความเจ็บปวดยิ่งที่คนแก่ต้องหนีคดีหัวซุกหัวซุน


บริษัท สมาร์ท โกลด์ มีเดีย กรุ๊ป จำกัด SMART GOLD MEDIA GROUP CO.,LTD. ติดต่อสอบถาม โทร : 0893284192 , ID Line : @siamturakij และ ฝ่ายโฆษณา siamturakijadvertising@gmail.com
© 2013 สยามธุรกิจ