ดันแก้ปัญหาราคายางยั่งยืนหนุนรายย่อยชูไทยตลาดกลาง

วันศุกร์ที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

ดันแก้ปัญหาราคายางยั่งยืนหนุนรายย่อยชูไทยตลาดกลาง


"ยุทธพงศ์" เดินหน้าแก้ปัญหาเสถียรภาพราคายางแบบยั่งยืน ปลื้มโครงการรักษาเสถียรภาพยางสิ้นสุด 30 มี.ค.56 ได้ผลดีเกินคาด เตรียมจับมือกับสมาคมยางพาราไทยเพื่อสนับสนุนเกษตรกรรายย่อย หวังผลักดันไทยเป็น ตลาดกลางซื้อขายแหล่งใหญ่
นายยุทธพงศ์ จรัสเสถียร รัฐมนตรี ช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า หลังจากที่โครงการพัฒนาศักยภาพสถาบันเกษตรกรเพื่อรักษาเสถียรภาพราคายางได้สิ้นสุดลงไปแล้วเมื่อเดือน มีนาคมที่ผ่านมา ในฐานะประธานโครงการฯ ยอมรับว่าโครงการดังกล่าวได้ผลเป็นที่น่าพอใจ ซึ่งระยะเวลาเพียง 5 เดือนที่ดำเนินโครงการพบว่าสามารถแก้ไขปัญหา และสามารถผ่านช่วงวิกฤติราคายางตกต่ำที่เกิดขึ้นได้ โดยใช้เงินรัฐบาลจำนวน 5,000 ล้านบาท ในการเข้าไปสนับสนุนเพื่อ ช่วยเหลือเกษตรกรรายย่อย และเชื่อมั่นว่าตลอดระยะเวลานั้นไม่มีการทุจริตแต่อย่างใด มีความโปร่งใสในการทำงาน โดย ได้มอบหมายให้กรมตรวจบัญชีสหกรณ์ทำการตรวจสอบข้อมูลให้ถูกต้องครบถ้วน และทางธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ทำการเบิกจ่ายเงินแก่เกษตรกรให้รวดเร็วที่สุด
สำหรับแนวโน้มราคายางในอนาคต จากการวิเคราะห์จากสมาคมยางพาราแห่งประเทศไทยคาดการณ์ว่า ราคายางจะปรับตัวสูงขึ้นเรื่อยๆ ตามกลไกราคาตลาดโลก ซึ่งเป็นช่วงที่ยางพาราขาดตลาด และยางอยู่ในช่วงผลิตใบและฝนตกชุกมาก เกษตรกรไม่สามารถออกกรีดยางได้ อีกทั้งยังมีรายการสั่งซื้อจากต่างประเทศอีกจำนวนมาก แต่ช่วงระยะเวลาสั้นๆ คาด ว่าราคายางจะแตะที่ 95-100 บาทต่อกก.
อย่างไรก็ตาม แม้ขณะนี้ราคายางพาราจะปรับตัวสูงขึ้นอยู่ที่ 110 บาทต่อกก. ซึ่งถือว่าเป็นราคาที่น่าพอใจ หากเทียบกับราคายางพาราของเดือนก่อน แต่ กระทรวงเกษตรฯ จะยังคงเดินหน้าร่วมมือกับภาคเอกชนเพื่อให้ราคายางมีเสถียร-ภาพ เพื่อให้เอกชนนั้นเข้ามามีส่วนร่วมใน การส่งเสริมศักยภาพยางพาราของไทยให้ มากขึ้น ซึ่งกระทรวงเกษตรฯ ได้กำหนดจะให้มีการประชุมหน่วยราชการ และภาค เอกชนที่เกี่ยวข้อง เพื่อร่วมกันพิจารณา ถึงแนวโน้มราคายาง และเจรจาเรื่องทิศ ทางยางพาราในอนาคตและที่สำคัญคือ การ ผลักดันให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการซื้อขายยางพาราเหมือนกับประเทศอื่นๆ เพราะประเทศไทยถือได้ว่าเป็นประเทศผู้ส่งออกยางพาราอันดับหนึ่งของโลก โดยมีการส่งออกยางพาราต่อปี กว่า 400,000 ล้านตัน ทั้งๆ ที่ประเทศไทยมีตลาดกลางอยู่หลายแห่ง แต่ที่ผ่านมานั้นทางภาครัฐไม่ได้ร่วมมือกับภาคเอกชนเท่าที่ควร
โดยเฉพาะแนวทางในการใช้กลไก ตลาดซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้าแห่งประเทศไทย  (AFET) ที่จะทำให้ราคายาง พารามีความยั่งยืน เนื่องจากที่ตลาดล่วงหน้าโตเกียว (TOCOM) ของประเทศญี่ปุ่นนั้นมียางอยู่สต็อกประมาณ 14,000 ตัน แต่ปัจจุบันตลาด (TOCOM) กลับเป็นผู้กำหนดราคายาง และเป็นสถานที่รับซื้อยางจากทั่วโลกทั้งที่มียางอยู่สต็อกน้อยมาก ดังนั้นหากไทยได้เป็นผู้นำการรับซื้อยางเหมือนกับประเทศญี่ปุ่นจะทำให้ประเทศไทยมีศักยภาพและคุณภาพยางพารามากขึ้น และมีการพัฒนาน้ำยางต่อไป


บริษัท สมาร์ท โกลด์ มีเดีย กรุ๊ป จำกัด SMART GOLD MEDIA GROUP CO.,LTD. ติดต่อสอบถาม โทร : 0893284192 , ID Line : @siamturakij และ ฝ่ายโฆษณา siamturakijadvertising@gmail.com
© 2013 สยามธุรกิจ