นายสัตวแพทย์ศักดิ์ชัย ศรีบุญซื่อ ผู้อำนวยการสำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ (มกอช.) กล่าวถึงกรณีการส่งออกสินค้าผลไม้ฉายรังสีไปยังสหรัฐอเมริกาว่า นับแต่ประเทศไทยเปิดตลาดผลไม้ฉายรังสีในสหรัฐฯ สำเร็จเมื่อปี 2550 มกอช.ทำให้เกษตรกร รวมไปถึงสหกรณ์ต่างๆ ทั่วประเทศ ได้มีช่องทางในการจำหน่ายมากขึ้น อีกทั้งยังเป็น การหาหนทางรองรับปริมาณผลไม้โดยเฉพาะลำไย มังคุด และลิ้นจี่ ที่จะออกมาจำนวนมากในไตรมาสที่ 3 ของปีนี้
"ไตรมาสแรกนี้ ไทยมีการส่งออกมังคุดและลำไยฉายรังสีไปยังสหรัฐฯแล้วกว่า 328.54 ตัน มูลค่าประมาณ 32.85 ล้านบาท คาดว่า ปริมาณการส่งออกในปี 2556 จะมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น โดยตั้งเป้าผลักดันส่งออกผลไม้ฉายรังสี 7 ชนิด รวมไม่น้อยกว่า 1,000 ตัน คิดเป็นมูลค่ากว่า 100 ล้านบาท หากไทยสามารถเพิ่มปริมาณการส่งออกผลไม้ไปยังสหรัฐฯ ได้อย่างต่อเนื่อง จะส่งผลดีต่อเกษตรกรอย่างมาก เพราะสหรัฐฯเป็นตลาดใหญ่ที่มีศักยภาพและมีกำลังซื้อสูง อันจะเป็นช่องทางระบายผลผลิตและช่วยยกระดับราคาในประเทศให้เพิ่มสูงขึ้นด้วย" นายสัตวแพทย์ศักดิ์ชัย กล่าว
อย่างไรก็ตาม เพื่อให้ทุกขั้นตอนมีความโปร่งใสและเป็นธรรม มกอช. ได้แต่ง ตั้งคณะกรรมการสนับสนุนและติดตามดูแลการประสานงานตรวจสอบสินค้าเกษตรก่อนการส่งออกไทย-สหรัฐฯ ประกอบด้วยตัวแทนจากหน่วยงานสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ ตัวแทนผู้ส่งออก ตัวแทนเกษตรกร ผู้แทนโรงงานฉายรังสี และผู้ทรงคุณวุฒิจากสถาบันการศึกษา เช่น มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี ร่วมพิจารณาคัดเลือกจากแผนการดำเนินงานของภาคเอกชนที่สมัครเข้ามา โดยบริษัท บัดดี้โคโคนัท จำกัด (BCC) ได้รับคัดเลือกเป็นผู้ประสานงานตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2554 และทำหน้าที่เป็นผู้ประสาน งานจนถึงปัจจุบัน
"มกอช.ได้เปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการทั้งรายเล็ก กลาง และรายใหญ่มาขึ้นทะเบียนเป็นผู้ส่งออกผลไม้ฉายรังสีไปสหรัฐฯอย่างเท่าเทียมกัน ไม่ได้ผูกขาดเฉพาะรายใดรายหนึ่ง โดยมีผู้ประกอบการมาขึ้นทะเบียนเป็นผู้ส่งออกผลไม้ไปสหรัฐฯภายใต้โครงการ จำนวน 22 ราย โดยปีที่ผ่านมามีผู้ประกอบการจำนวน 9 บริษัท ได้ส่งออกมังคุด ลำไย และลิ้นจี่ฉายรังสีรวม 861.11 ตัน คิดเป็นมูลค่ากว่า 86.11 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้นร้อยละ 40 เมื่อเปรียบเทียบกับปี 2554 ที่มีปริมาณการส่งออกรวม 614.62 ตัน มูลค่าประมาณ 61.45 ล้านบาท" นายสัตวแพทย์ศักดิ์ชัย กล่าว  
ผอ.มกอช.กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับค่าบริการตรวจสอบผลไม้ที่จะส่งออก คิดโดยเฉลี่ยจากจำนวนกิโลกรัมของผลไม้ที่ผู้ส่งออกแจ้งขอนำเข้าฉายรังสี หากมีผลไม้เข้าฉายรังสีปริมาณมาก ค่าบริการตรวจสอบก็จะถูกลง ส่วนประเด็นการเก็บเงินล่วงหน้าที่ผู้ประสานงานเอกชนเสนอเก็บร้อยละ 50 ของปริมาณการส่งออกที่ผู้ส่งออกแต่ละรายประมาณการเองล่วงหน้าเป็นรายไตรมาส ถือว่าเป็นเรื่องปกติทางธุรกิจที่ผู้ประกอบการต้องวางแผนงานล่วงหน้า เนื่องจากสหรัฐฯเรียกเก็บเงินล่วงหน้าจากไทยเป็นรายปี ปีละประมาณ 12 ล้านบาท ก่อนส่งเจ้าหน้าที่ Inspector มาตรวจสอบแมลงศัตรูพืชร่วมกับเจ้าหน้าที่กรมวิชาการ เกษตรก่อนอนุญาตให้นำผลไม้เข้าฉายรังสี