ซีพีเอฟ แนะเคล็ดเลี้ยงปลา สู้ภัยแล้ง (1)

วันพุธที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2556

ซีพีเอฟ แนะเคล็ดเลี้ยงปลา สู้ภัยแล้ง (1)


การทำเกษตรกรรม ปัญหาที่เกษตรกร มักพบเจอมาโดยตลอดคือ ความไม่แน่นอนในการผลิต โดยเฉพาะภัยธรรมชาติที่สร้างความเสียหายแก่เกษตรกร ดังเช่นภัยแล้งที่คุกคามอยู่ในปัจจุบัน ที่กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยมีรายงานจังหวัดที่ประสบ ภัยพิบัติฝนทิ้งช่วงและภัยแล้งแล้วจำนวน 38 จังหวัด อย่างไรก็ตาม แม้ว่าภัยแล้งนี้จะเป็น ปัจจัยภายนอกที่ไม่สามารถควบคุมได้ หากแต่สามารถป้องกัน และลดผลกระทบได้ ถ้ามีการ เตรียมตัวและใส่ใจในการเลี้ยงสัตว์ให้มากกว่าปกติ ก็จะสามารถผ่านพ้นวิกฤติต่างๆ ไปได้
จากสถานการณ์ภัยแล้งดังกล่าว "เกษตรก้าวไกล" ฉบับนี้จึงอยากจะพาผู้อ่านไปรู้จักเทคนิคดีๆ สู้ภัยแล้งกัน โดยได้ผู้นำธุรกิจเกษตรอุตสาหกรรมและอาหาร อย่างบริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ ที่มีทีมงานและผู้ชำนาญการด้านการ เลี้ยงสัตว์ที่มากประสบการณ์อยู่มากมาย ซึ่งทางบริษัทแห่งนี้ก็ได้เล็งเห็นถึงปัญหาดังกล่าว ที่เกิดขึ้นกับเกษตรกรหลายพื้นที่ที่ต้องประสบปัญหาภัยแล้งและความเปลี่ยนแปลงของสภาพ อากาศในปัจจุบัน ซึ่งเป็นภาวะที่ไม่เหมาะสมกับสัตว์เลี้ยง
เริ่มต้น นายอดิศร์ กฤษณวงศ์ รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส ซีพีเอฟ ผู้คร่ำหวอด ในวงการเพาะเลี้ยงปลา บอกว่า สภาวะอากาศในปัจจุบัน ส่งผลกระทบต่อการเจริญเติบโต ของปลานิลและปลาทับทิม ซึ่งปกติอุณหภูมิที่เหมาะสมกับการเลี้ยงปลาอยู่ที่ประมาณ 26-30 องศาเซลเซียส ขณะที่ปัจจุบันอุณหภูมิกลับสูงถึง 37-40 องศาเซลเซียส และแหล่งน้ำ สำหรับเลี้ยงปลาบางแห่งปริมาณน้ำก็ลดลงเป็นอย่างมาก ทำให้ปลากระชังที่เลี้ยงในแม่น้ำ สายต่างๆ ได้รับผลกระทบมากยิ่งขึ้น จึงมีคำแนะนำสำหรับการเลี้ยงปลาในช่วงฤดูร้อนเพื่อ ลดความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นกับพี่น้องเกษตรกร
"อากาศที่ร้อนจัดและเกิดสภาวะแล้งในหลายพื้นที่ในช่วงนี้ เกษตรกรต้องเอาใจใส่ ดูแล การเลี้ยงปลาเป็นพิเศษ ด้วยการปรับสภาพแวดล้อมให้เหมาะสมกับการเจริญเติบโตของปลา หากอากาศร้อนจัดต้องทำการลดอุณหภูมิของน้ำลง เพื่อลดความเสี่ยงในกรณีที่ปลาอาจน็อก จากอากาศร้อนจัด"
"สำหรับการเลี้ยงปลานิล และปลาทับทิมในกระชัง ควรใช้สแลนด์ดำคลุมกระชังปลา หรือบ่อเลี้ยง เพื่อช่วยควบคุมอุณหภูมิและลดความเครียดจากแสง (light stress) ที่เกิดจาก การถูกแสงแดดจ้าส่องกระทบโดยตรง ซึ่งจะทำให้ปลากินอาหารลดลง โตช้า และป่วยในระยะต่อไป ส่วนการเลี้ยงปลาในบ่อต้องมีการควบคุมคุณภาพน้ำ โดยปรับสภาพให้น้ำลึกไม่ต่ำกว่า 1.8 เมตร ทำความขุ่นใส 40-50 เซ็นติเมตร ทั้งนี้ น้ำที่อุณหภูมิสูงขึ้น ออกซิเจน ที่ละลายในน้ำจะลดลง จึงต้องวัดค่า DO บ่อยครั้งขึ้น"
อดิศร์ บอกอีกว่า สำหรับการเลี้ยงปลากระชังในแม่น้ำที่อาจพบปัญหาน้ำแห้ง อาจ ต้องลงเลี้ยงปลาให้เหมาะสมไม่เลี้ยงหนาแน่นจนเกินไป และต้องลากกระชังลงไปในบริเวณ น้ำลึกขึ้น ประกอบกับต้องมีระบบป้องกันโดยการทำความสะอาดกระชังบ่อยครั้งขึ้น เนื่อง จากในฤดูร้อนพาราไซต์และแบคทีเรียจะเติบโตอย่างรวดเร็ว เพราะมีอาหารในธรรมชาติ มาก รวมทั้งต้องกำจัดวัชพืชน้ำและสาหร่ายไม่ให้เกาะกระชัง ซึ่งจะกีดขวางทางการไหลของ น้ำผ่านกระชัง ทำให้ออกซิเจนในกระชังต่ำลง หากมีการเปลี่ยนแปลงสภาพน้ำแนะนำให้ผสม วิตามินซีในอาหารเพื่อลดความเครียด และควรหมั่นสังเกตการกินอาหารของปลาอย่าให้เหลือมาก อาจแบ่งการให้อาหารเป็น 5-6 มื้อต่อวันเพื่อกระตุ้นการกิน ส่วนเกษตรกรที่เลี้ยงปลาในบ่อซึ่งมีปัญหาจากพาราไซต์ในน้ำน้อยกว่าแต่อาจมีปัญหาในช่วงอากาศร้อนจัด ต้องติดตั้งเครื่องตีน้ำเพื่อช่วยเติมอากาศในน้ำอย่างเหมาะสม และควรเปิดตลอดเวลา โดย เฉพาะในเวลากลางวัน เพื่อให้น้ำมีการผสมกันตลอดตามแนวลึกของบ่อไม่เกิดการแบ่งชั้น ของน้ำ ช่วยให้อุณหภูมิน้ำไม่สูงจนเกินไป
นอกจากนี้ การให้อาหารก็จำเป็นต้องควบคุมอย่างเหมาะสม โดยปรับปริมาณการให้ อาหารในแต่ละมื้อลง ให้อาหารทีละน้อยเท่าที่ปลากินหมดและต้องสังเกตปริมาณอาหารที่เหลือลอยบนผิวน้ำ หากมีปริมาณมากควรปรับลดอาหารให้พอเหมาะ นอกจากนี้ ต้องหมั่น ตรวจสอบสุขภาพปลาโดยการสุ่มตรวจพาราไซต์ทุกๆ สัปดาห์ และใช้แบคทีเรียที่เป็นประโยชน์ช่วยย่อยสลายสารอินทรีย์ให้เหมาะสม โดยวัดได้จากค่าของแอมโมเนีย รวมที่ละลายน้ำไม่ควรเกิน 0.5 ppm
เนื้อหาสาระเทคนิคการสู้ภัยแล้งของเกษตรกรจากตัวแทน บริษัท เจริญโภคภัณฑ์ อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ ยังไม่จบ อย่างไรค่อยติดตามอ่านต่อใน "เกษตร ก้าวไกล" ฉบับหน้า รับรองว่ายังคงเข้มข้นและน่าสนใจอย่างแน่นอน


บริษัท สมาร์ท โกลด์ มีเดีย กรุ๊ป จำกัด SMART GOLD MEDIA GROUP CO.,LTD. ติดต่อสอบถาม โทร : 0893284192 , ID Line : @siamturakij และ ฝ่ายโฆษณา siamturakijadvertising@gmail.com
© 2013 สยามธุรกิจ