"รับเบอร์ ซิตี้” เดินหน้าฉลุย เอกชนร่วมด้วยช่วยหนุนรัฐบาล

วันอาทิตย์ที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2556



นโยบายของรัฐบาลที่ตั้งวงเงิน กู้จำนวน 2 ล้านล้านบาท เพื่อดำเนินการในโครงสร้างพื้นฐานภายในประเทศ ซึ่งมีอยู่ด้วย 3 ประเด็น หลักๆ คือ 1.ระบบราง งบประมาณ 1.3 ล้านล้านบาท ได้มีการหารือเกี่ยวกับการทำหมอนรถไฟ โดยการนำยางพารามาผสมแล้วนำไปทดสอบ หากสามารถใช้ในระบบ รางได้ ทางรัฐบาลเชื่อว่าจำนวนยาง ที่แทรกแซงทั้งหมด 2 แสนตัน ไม่ ต้องส่งขายไปยังต่างประเทศ 
โดยระบบเส้นทางถนน วางงบประมาณอยู่ที่ 2.3 แสนล้านบาท ที่ทาง รมช.กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ยุทธพงศ์ จรัสเสถียร ได้ลงพื้นที่เมื่อวันที่ 17 มีนาคมที่ผ่านมา เพื่อศึกษาสำรวจ เส้นทางโครงการก่อสร้างถนนยางพารา ที่ จ.กระบี่ ได้กำหนดไว้ที่เส้นทางภาคใต้ คาด ว่าจะเริ่มดำเนินการได้ภายในเดือนหน้า หากเราสามารถสร้างถนนยางพาราได้ทั่ว ประเทศ ก็สามารถใช้ทรัพยากรยางที่มีอยู่ภายในประเทศได้อย่างคุ้มค่าแน่นอน
และจากการประชุมคณะอนุกรรมการจัดทำยุทธศาสตร์การเพิ่มมูลค่ายางพาราไทย ครั้งที่ 4/2556 ที่จะเพิ่มมูลค่ายางพาราภายในประเทศให้สูงขึ้นและเป็นน่าพอใจของเกษตรกร เนื่องจากราคา ยางนั้นจะมีการปรับขึ้น-ลงอยู่ตลอดเวลา หากเราเพิ่มราคาขึ้นมาได้ สามารถที่จะยกระดับยางพาราของเกษตรกรได้ ซึ่งที่ผ่านมาได้เสนอให้ทางรัฐบาลรับซื้อราคายางอยู่ที่กิโลกรัมละ 120 บาท/กก. แต่รัฐบาลเข้ามาแทรกแซงราคาอยู่ที่ 100 บาท/กก. น่าจะอยู่ในเกณฑ์ที่รับได้ ถ้าหาก ว่าค่าเฉลี่ยการเพิ่มมูลค่า ยางพาราอยู่ที่ 5 เท่า สามารถปรับขึ้นมาถึง 500 บาท/กก. รับรองว่าจะส่งผลดีต่อเกษตร
โครงการ "รับเบอร์ ซิตี้" น่าจะเป็น อีกความพยายามหนึ่ง ที่จะช่วยผลักดันและอุดหนุนราคายางให้มีเสถียรภาพมาก กว่าที่เป็นอยู่ โดยเมื่อวันที่ 10-12 เมษายน ที่ผ่านมา ได้มีการสัมมนาทิศทางและความเติบโตในด้านอุตสาหกรรมยางของกลุ่มประเทศอาเซียนและประเทศพันธมิตรขึ้นที่จังหวัดภูเก็ต
"ความเป็นไปได้และความพร้อมของไทยที่จะเป็นรับเบอร์ ซิตี้ มีการพูดคุยกันมานานแล้ว ต้องดูว่าเรามีความหนักแน่นแค่ไหนที่จะทำอย่างจริงจังและเป็นรูปธรรมหรือไม่ หรือแค่พูดผ่านๆ ไป ถ้าจะลงมือทำจริงๆ ก็มีความเป็นไปได้อย่างแน่นอน เพราะว่าวัตถุดิบเรามีมากที่สุดอันดับหนึ่ง แล้วทำไมเราไม่แปรรูปให้ถึงปลายน้ำ ซึ่งจริงๆ แล้วประเทศไทยต้องเป็นผู้ริเริ่มก่อน แล้วจึงชวนเพื่อนบ้านมาเป็นพันธมิตร คิดว่าตรงนี้เป็นสิ่งที่ดีอยู่แล้ว เพราะทุกวันนี้คนใต้อยู่อย่างมีอนาคตหรือด้วยความหวาดระแวง ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าเห็นใจ อย่างน้อยก็ทำให้ ทุกภาคส่วนสบายใจขึ้นว่า เราอยู่กันฉันท์พี่น้องอย่างแท้จริง และจะมีการพัฒนาพื้นที่ให้ดีที่สุด โดยใช้วัตถุดิบของท้องถิ่นไปพัฒนาคนในท้องที่" ไชยยศ สินเจริญ-กุล นายกสมาคมยางพาราไทย กล่าวถึงโครงการรับเบอร์ ซิตี้ หรืออุตสาหกรรมเมืองยาง
โดยโครงการนี้จะส่งผลประโยชน์กับภาคธุรกิจที่อยู่กลางน้ำ จะแปรรูปวัตถุดิบส่งต่อไปยังธุรกิจที่อยู่ปลายน้ำ เบื้องต้น ไม่เห็นว่าจะมีผลกระทบเกิดขึ้น แต่กลับมองไปข้างหน้าว่าอุตสาหกรรมปลายน้ำจะเกิดขึ้นจำนวนมาก โดยเฉพาะยางพารา ในบ้านเรามีเยอะมาก น่าจะทำประโยชน์ได้มากกว่านี้ หากมองในแง่ดีเรายังมีโอกาส ที่จะเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ที่จะเข้ามา และพร้อมที่จะรับและพัฒนาต่อไป
"โครงการก่อสร้างรับเบอร์ ซิตี้นั้น ราษฎรที่อยู่ในพื้นที่จะได้ประโยชน์มหาศาล ส่วนความพร้อมของภาคธุรกิจนั้น ต้องถามภาครัฐว่าให้การสนับสนุนภาคเอกชนมากน้อยแค่ไหน ถ้าหากมีการสนับสนุนมาก ภาคเอกชนก็มีความพร้อมมากเช่นเดียวกัน ส่วนในด้านการค้าและการลงทุนกับประเทศเพื่อนบ้าน รัฐบาลจะต้องคำนึงถึงโครงการพื้นฐานก่อน หาก โครงสร้างพื้นฐานไม่ดีพอ จะส่งผลให้ต้นทุนการผลิตและการขนส่งมีมูลค่าสูงขึ้น แต่หากโครงการสร้างพื้นฐานดี เราก็ทำสำเร็จไปครึ่งหนึ่งแล้ว สำหรับโครงสร้างพื้นฐานหลักๆ คือ ท่าเรือ ซึ่งเป็นแหล่งขนถ่ายสินค้าทั้งขาเข้าและขาออกระหว่าง ประเทศ ทุกวันนี้จะเห็นว่าใน 14 จังหวัดภาคใต้นั้นเสียเปรียบอยู่แล้ว ทั้งๆ ที่เราเสียเปรียบ แต่เรายังสามารถยืนหยัดอยู่ได้จนถึงทุกวันนี้ และในเรื่องการปฏิบัติเรา ก็ไม่แพ้ใครเหมือนกัน ส่วนทางด้านเทคโนโลยีเราสามารถพัฒนาให้ทันต่อยุคสมัยที่เปลี่ยนแปลงได้อยู่แล้ว" นายไชยยศ กล่าว
ด้านนายพงษ์ศักดิ์ เกิดวงศ์บัณฑิต นายกกิตติมศักดิ์สมาคมยางพาราไทย และประธานกิตติมศักดิ์สภาอุตสาหกรรมจังหวัดภูเก็ต มองว่า โครงการรับเบอร์ ซิตี้ที่ภาครัฐพยายามผลักดันเป็นผลดีมาก เพราะจะเป็นจุดเชื่อมโยงความร่วมมือกันระหว่างสองประเทศ ทั้งภาครัฐและเอกชน โดยภาครัฐจะได้สร้างบรรยากาศการลงทุนให้กับราษฎรในพื้นที่จังหวัดชาย แดนภาคใต้ร่วมกับทางตอนเหนือของประเทศมาเลเซีย ช่วยลดความตึงเครียด และจะนำความเจริญมาสู่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้มากขึ้นต่อไป ส่วนภาคเอกชนของทั้งสองประเทศก็จะได้สิทธิประโยชน์ร่วมกัน ซึ่งเราต้องการให้เกิดการใช้ยางพาราภายในประเทศเพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง และส่งผลให้ราคายางพาราดีขึ้นด้วย
"วันนี้ภาคธุรกิจของทั้งสองประเทศมีความพร้อม 100% เพราะตอนนี้มาเลเซียมีปัญหาเรื่องเซ็ต โดยประเทศมาเลเซียนำเข้ายางพาราจากประเทศไทย ปีละ 3-4 แสนตัน หากเขาย้ายมาที่รับเบอร์ ซิตี้ของไทย จะประหยัดถึงกิโลละ 3 บาท และในอนาคตจะประหยัดถึงกิโลละ 5 บาท สิ่งเหล่านี้ถือว่าเป็นประโยชน์ ต่อภาคธุรกิจประเทศมาเลเซีย ซึ่งรับเบอร์ ซิตี้ นั้นจะเกิดกับประเทศใดประเทศหนึ่งไม่ได้ หากเรารวมตัวกันระหว่างไทยกับมาเลเซีย และมีกฎหมายรองรับ หรือสิทธิประโยชน์ต่างๆ พลังงานต่างๆ หรือสารเคมี ทางฝ่ายมาเลเซียก็จะเข้ามาอยู่ในประเทศไทยอย่างแน่นอน" นายพงษ์ศักดิ์ กล่าว
ดังนั้น เมื่อทั้ง 3 ประเทศ คือ ไทย มาเลเซีย และอินโดนีเซียร่วมกัน ราคายางไม่ตกต่ำอีก และจะต้องให้ราคายางอยู่ ในระดับที่เหมาะสมต่อไป และทิศทางยาง พาราน่าจะดีขึ้น และจากนโยบายของทั้ง 3 ประเทศนั้น อยากให้อีก 5 ประเทศ ที่เหลือเข้ามาร่วมด้วย ได้แก่ ลาว กัมพูชา พม่า เวียดนาม ฯลฯ คาดว่าจะมีผู้ส่งออก มากกว่า 80% สามารถกำหนดราคายาง ให้ยั่งยืนตลอดไป


บริษัท สมาร์ท โกลด์ มีเดีย กรุ๊ป จำกัด SMART GOLD MEDIA GROUP CO.,LTD. ติดต่อสอบถาม โทร : 0893284192 , ID Line : @siamturakij และ ฝ่ายโฆษณา siamturakijadvertising@gmail.com
© 2013 สยามธุรกิจ