ทีมข่าวเกษตรสยามธุรกิจ ได้มีโอกาสไปร่วมงานแถลงข่าว "ความคืบหน้าของงาน ISRMAX Asia 2013 และ ISRMAX Horti {amp} Agri Asia 2013 (งานเกษตรเพื่ออุตสาหกรรมเกษตร)" ณ โรงแรมเรเนซองส์ กรุงเทพฯ ที่ถือว่าเป็นไฮไลต์ของงานนี้คือการเสวนาเกี่ยวกับธุรกิจการเกษตร โดย 3 กูรู ของวงการเกษตรไทย ได้แก่ คุณภูติ ศรีสมุทรนาค นายกสมาคมส่งเสริม ชาวนาไทย คุณทักษ์ ศรีรัตนโนภาส ผู้อำนวยการด้านโครงการร่วมทุนและการค้าระหว่างประเทศ บริษัท น้ำตาลมิตรผล จำกัด และ คุณอุดม ฐิตวัฒนะสกุล นายกสมาคมไม้ประดับ แห่งประเทศไทย
งานนี้ทีมงานฯ จึงไม่แปลกใจเลยที่จะได้พบเห็นภาพบรรยากาศในห้องเสวนา ที่เต็มไปด้วยคนที่แห่กันมาฟังมุมมองของ กูรูทั้งสามคนกันอย่างล้นหลามจนทำให้ห้อง เสวนาที่จัดไว้แน่นไปถนัดตา มองไปทางไหนก็มีคนนั่งเก้าอี้ที่เตรียมไว้เต็มไปหมด
และแน่นอนทีมงานฯ ก็ไม่พลาดที่จะ เก็บการเสวนาครั้งนี้มาฝากผู้อ่านให้ได้ทราบ กัน โดยการเสวนาเริ่มขึ้นหลังจากที่พิธีกร แนะนำผู้ร่วมเสวนาให้รู้จักกันเป็นที่เรียบร้อย โดยการเสวนาเริ่มขึ้นที่ "คุณภูติ ศรีสมุทรนาค" นายกสมาคมส่งเสริมชาวนาไทย ได้กล่าวทักทายแขกผู้มีเกียรติ ที่มาร่วมงานพร้อมเริ่มกล่าวถึงสถานการณ์ ของเกษตรกรชาวนาว่า "เมื่อปี 2554 ชาวนากว่า 3 ล้าน 7 แสนครัวเรือนในพื้นที่ บริเวณภาคกลางและภาคเหนือแทบสิ้นเนื้อประดาตัวกันเลยทีเดียว พอมาปี 2555 ต่อเนื่องถึงปีนี้ 2556 รู้สึกว่าดีขึ้นสำหรับสถานการณ์ของชาวนาในเวลานี้"
"ถ้าเป็นอย่างนี้ไปอีก 4-5 ปี คิดว่าหนี้สินที่ชาวนามีจะหมดไปแน่ๆ ที่บอกว่าปี 2554 แทบหมดตัวเพราะน้ำหลากมามากกว่าปกตินั้นเป็นเรื่องจริงนะครับ ขณะเดียวกันก็เพราะน้ำที่ทำให้ผลผลิตเมล็ดข้าวในปี 2555 ต่อถึงปี 2556 นี้ดีกว่าเมื่อก่อน โดยตัวผมเองแล้วคิดว่าเป็น เพราะน้ำที่หลากมามากกว่าปกตินั้น ได้ชะล้างพวกสิ่งตกค้างอย่างเคมีต่างๆ ออก ไปพร้อมๆ กับได้นำพาพวกตะกอนดีๆ จาก พื้นที่ด้านบนมาเป็นปุ๋ยให้กับนาข้าวด้วย"
ส่วนผลกระทบจากการเปิดเสรีทาง การค้าในปี 2558 นั้น คุณภูติ กล่าวว่า "คิดว่าไม่มีผลกระทบกับพวกเราชาวนานะ เพราะข้าวหอมมะลิของไทยเรานี่สุดยอดอยู่แล้ว ที่อื่นก็สู้เราไม่ได้พันธุ์ที่เราใช้ปลูก นี่ล่ะดีที่สุด อร่อยที่สุด พอเปิดเสรีทาง การค้าแล้ว ขอเพียงราคาข้าวยืนอยู่ประมาณ นี้เราก็อยู่ได้แล้ว"
ถัดมาเป็น คุณทักษ์ ศรีรัตนโนภาส ผู้อำนวยการด้านโครงการร่วมทุนและการค้าระหว่างประเทศ บริษัท น้ำตาล มิตรผล จำกัด กล่าวถึงสถานการณ์อ้อยในปัจจุบันว่า "เราแพ้ประเทศบราซิลเพียง ประเทศเดียวในเรื่องของปริมาณการส่งออกน้ำตาล เพราะประเทศบราซิลเขามีพื้นที่มากแล้วก็มีภูมิประเทศบวกกับอากาศ ที่เหมาะสมกับการปลูกอ้อยมาก ปริมาณน้ำตาลที่ได้ก็เลยมากเขาจึงมีน้ำตาลส่งออก ขายนอกประเทศมาก ส่วนในเอเชียนี่ประเทศไทยเรากับประเทศออสเตรเลียเราผลัดกันเป็นที่ 2 ในเรื่องการส่งออกน้ำตาล ส่วนที่เมื่อปี 2555 เราได้ที่สองมา เป็นเพราะว่า เรามีการพัฒนาวิธีการปลูก อ้อยและชาวไร่อ้อยเขาเก่งทั้งที่มีพื้นที่ในการปลูกน้อยกว่า เราดูจากตัวเลขผลผลิต ที่ได้เราได้มากกว่า 10 ตันต่อไร่ ในช่วงปีสองปีนี้ แต่ถ้าผลผลิตไม่ดีจะได้ผลผลิตต่ำกว่า 10 ตันต่อไร่ แต่ตัวเลขที่ว่าดีนี้ เมื่อ ไปเทียบกับผลผลิตของออสเตรเลียแล้วเราก็ยังได้น้อยกว่าเขา ผลผลิตของออสเตรเลียเขาได้ 15-20 ตันต่อไร่ ทีนี้ทำอย่างไรจึงจะไว้ผลผลิตเพิ่ม เราก็ต้องใช้ เทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ๆ มาใช้ในการ ปลูกอ้อย ซึ่งเรื่องนี้ก็ควรจะต้องปรับปรุง"
"เหมือนกับที่คุณภูติพูด ผมคิดว่าดิน ของไทยเราเป็นดินที่ดีโดยเฉพาะภาคกลาง เพราะเป็นดินลุ่มน้ำ ถ้าเรามีการจัดการน้ำ ในพื้นที่เกษตรให้ดี เพราะปัจจุบันนี้จากตัวเลขสมมติว่าเรามีพื้นที่การเกษตร 100 เปอร์เซ็นต์เรามีพื้นที่ชลประทาน 16 เปอร์เซ็นต์ ปีสองปีที่ผ่านมาแม้เราจะทำผลผลิต ได้ดีก็ต้องบอกว่าเรายังพึ่งฝนฟ้าตามฤดูกาลกันอยู่มาก ดังนั้น จึงคิดว่าเกษตรกรชาวไร่อ้อยควรจะใช้เทคโนโลยีหรือนวัตกรรม ใหม่ๆ มาใช้ในการปลูกไม่ว่าจะเป็นเทคนิค น้ำหยดหรืออะไรอย่างนี้ ก็จะช่วยประหยัด น้ำและช่วยให้ได้ผลผลิตเพิ่มขึ้นด้วย ส่วน ชาวไร่อ้อยในภาคตะวันออกเฉียงเหนือหรือภาคอีสานผมสนใจเรื่องที่ว่าจะผันน้ำจากแม่น้ำโขงมายังแม่น้ำมูล แม่น้ำชีใน ฤดูน้ำหลากมากก็จะหล่อเลี้ยงภาคอีสานได้ ทั่วทั้งภาค ดังนั้น สรุปว่าถ้าเราจัดการน้ำ ได้ดี ดินเราดี โดยการจัดการด้วยเทคโนโลยีต่างๆ เราสามารถจะเพิ่มผลผลิตอ้อย ได้มากทีเดียว"
มุมมองของ "คุณทักษ์ ศรีรัตนโนภาส" ผู้อำนวยการด้านโครงการร่วมทุน และการค้าระหว่างประเทศ บริษัท น้ำตาลมิตรผล จำกัด ยังไม่จบ รวมถึงยังมี "คุณอุดม ฐิตวัฒนะสกุล" นายกสมาคมไม้ประดับแห่งประเทศไทย อีกคนหนึ่งที่ยังรอแสดงความคิดเห็น แต่เนื่องจากเนื้อที่มีน้อย อย่างไรคอยติดตามอ่านต่อฉบับหน้ารับรองว่าเข้มข้น ไม่แพ้กันแน่นอน