รมว.เกษตรฯ เชื่อมั่น... เกษตรไทยพร้อมสู่เออีซี (จบ)

วันพฤหัสบดีที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2556

รมว.เกษตรฯ เชื่อมั่น... เกษตรไทยพร้อมสู่เออีซี (จบ)


ฉบับนี้เรากลับมาตามต่อการปาฐกถาของ นายยุคล ลิ้มแหลมทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ซึ่งฉบับที่แล้วเขาได้บอกว่าประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนเป็นส่วนหนึ่งของการขับเคลื่อนระบบการค้าเสรีในระดับภูมิภาคและระดับโลก ซึ่งเป็นกลไกในการขับเคลื่อนการพัฒนาระบบเศรษฐกิจ และสังคมของทุกประเทศให้เติบโตไปพร้อมๆ กัน โดยเราจะต้องมีการปรับตัวและการบรรเทาผลกระทบต่างๆ ที่จะเกิดขึ้น (Adaptation and Mitigation) เพื่อการรักษาหรือปรับเพิ่มระดับความมั่นคงด้าน อาหาร ความปลอดภัยด้านอาหาร และความสมดุลของระบบนิเวศ ซึ่งเกษตรกรต้องปรับแนวคิด เปลี่ยนวิธีทำในการดำเนินกิจกรรมการผลิตและบริโภค โดยใช้ทรัพยากรในการผลิตเท่าเดิม หรือน้อยกว่าเดิม ตลอดจนไม่สร้างมลภาวะที่เป็น ภาระแก่สิ่งแวดล้อมและทรัพยากร ธรรมชาติ
ฉบับนี้เรากลับมาฟังการปาฐกถาของ รมว.กระทรวงเกษตรฯ กันต่อรับรองว่ายังมี เรื่องราวที่น่าสนใจเช่นเดิม โดยเฉพาะเรื่อง ของยุทธศาสตร์และแผนนโยบายของกระทรวงฯ ซึ่งเขากล่าวต่อว่า "ลักษณะสำคัญของประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนที่มีผลต่อการผลิตและการบริโภคสินค้าเกษตร และอาหาร คือการเป็นกลุ่มประเทศที่อยู่ใน ภูมิภาคซึ่งตั้งอยู่ในละติจูด ลองติจูดใกล้เคียง กัน หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งว่ามีภูมิประเทศและ ภูมิอากาศใกล้เคียงกันในระดับหนึ่ง นั่นหมายถึงว่า ธรรมชาติได้เอื้อให้การเกษตรของแต่ละประเทศในประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนจะดำเนินการผลิตสินค้าที่มีความคล้ายคลึงกัน มีชนิดพืชที่สามารถผลิตและค้าขายเหมือนกัน เช่น ข้าว ผลไม้ ยางพารา ปาล์มน้ำมัน พืชไร่ และการปศุสัตว์ ดังนั้น การกำหนดตำแหน่งทางยุทธศาสตร์หรือการกำหนดตำแหน่งของสินค้าในตลาดจึงมีความสำคัญที่ต้องตระหนักร่วมกันว่า แต่ละ ประเทศจะเข้าสู่การแข่งขัน หรือสร้างความ ร่วมมือในการผลิตเพื่อแข่งขันในตลาดโลก ผ่านกลยุทธ์การสร้างความแตกต่างในสินค้า ของตนเอง หรือการพัฒนารูปแบบการผลิต ไปสู่การผลิตแบบคลัสเตอร์"
"ประเทศไทยได้นำแนวคิดที่กล่าวมาข้างต้นแปลงเป็นยุทธศาสตร์ประเทศ (Country Strategy) ซึ่งประกอบไปด้วยยุทธศาสตร์สร้างความสามารถในการแข่งขัน ของประเทศ (Growth and Competitive-ness) ยุทธศาสตร์สร้างโอกาสบนความเสมอภาคและเท่าเทียมกันทางสังคม (In-clusive Growth) ยุทธศาสตร์การเติบโตบนคุณภาพชีวิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม (Green Growth) และยุทธศาสตร์การปรับ สมดุลและพัฒนาระบบการบริหารจัดการภาครัฐ"
"นอกจากนั้น ยังได้มีนโยบายในการ เตรียมความพร้อมก่อนเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ได้แก่ การสร้างขีดความ สามารถในการแข่งขันภาคเกษตร โดยดำเนินการพัฒนาเกษตรกรให้เป็น Smart Farmer และการจัดการใช้ที่ดินประเทศ (Zoning) ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ทั้งนี้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและผลิตภาพด้านการ เกษตร และการรักษาเสถียรภาพด้านราคา ของอุปสงค์ อุปทาน การพัฒนาคุณภาพสินค้าและบริการขยายการจัดทำ MRA ด้าน การตรวจสอบและรับรองมาตรฐาน การพัฒนาระบบตรวจสอบรับรองสินค้าเกษตรและปศุสัตว์ให้เทียบเคียงมาตรฐานของกลุ่ม สหภาพยุโรป การพัฒนาปรับปรุงกฎระเบียบ ที่เป็นอุปสรรคทางการค้าและการอำนวยความสะดวกทางการค้าระหว่างประเทศ การ พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานรองรับปริมาณการค้าตามแนวชายแดนที่จะเพิ่มขึ้น การเชื่อมโยงเพื่อการค้าการลงทุน (Connecti-vity) โดยการเชื่อมโยงระบบขนส่งสินค้าและการบริหารจัดการระบบลอจิสติกส์ให้มี ประสิทธิภาพ การพัฒนาคุณภาพชีวิตและการคุ้มครองทางสังคม โดยการเสริมสร้างความรู้ด้านอาหารศึกษา (Food Education) และการเสริมสร้างระบบการคุ้มครองผู้บริโภค ให้เข้มแข็ง การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และการสนับสนุนการใช้พลังงานทดแทน"
"ยุทธศาสตร์และแผนงานโครงการที่ กล่าวมานั้นจะส่งผลให้ยกระดับความได้เปรียบในการแข่งขันของประเทศไทยโดยเฉพาะด้านปศุสัตว์ที่ซึ่งมีความพร้อมอยู่แล้ว ในระดับหนึ่ง ให้เพิ่มขึ้นไปเป็นผู้นำการผลิต สินค้าปศุสัตว์และประมงที่มีมาตรฐานคุณภาพ สินค้าในระดับอาเซียนและระดับโลก เป็นศูนย์กลางขององค์ความรู้และเทคโนโลยีการผลิตที่สะอาดและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม"
อย่างไรก็ตาม ความมั่นคงด้านปัจจัย การผลิต รวมทั้งวัตถุดิบในการผลิตอาหารสัตว์ ยังมีความสำคัญที่ประเทศไทยตระหนักดีอยู่เสมอ ดังนั้น เราจึงจะใช้โอกาสในการเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนสร้างตลาดร่วมในการผลิตวัตถุดิบอาหารสัตว์ และปรับ รูปแบบการผลิตสินค้าปศุสัตว์ให้มีความ เชื่อมโยงแบบคลัสเตอร์ (Cluster) อันส่งผลให้เกิดการปรับเพิ่มผลิตภาพของกลุ่มประเทศ อาเซียนไปพร้อมกัน ตลอดจนก่อให้เกิดการ ยกระดับรายได้และคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
ดังจะเห็นได้จากรูปแบบการพัฒนาการ ผลิตและการบริโภคสินค้าปศุสัตว์จากอดีตจนถึงปัจจุบันของประเทศไทยที่มีรูปแบบการผลิตที่ใช้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเข้มข้นในการผลิต ทั้งในกลุ่มสินค้าไก่เนื้อ สุกร ไก่ไข่ โคเนื้อ โคนม กุ้ง และปลา ที่ประเทศไทยมีจุดแข็งทางด้านมาตรฐานสุขอนามัย ด้าน Bio Security และระบบตรวจ สอบรับรอง ที่สามารถสอบย้อนกลับได้ การ เทียบเคียงมาตรฐานสากลด้าน Food Safety และมาตรฐานการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (Carbon Footprint) ระบบการเฝ้า ระวังและการควบคุมโรคที่ซึ่งเป็นที่ยอมรับในองค์กรระดับโลกอย่าง OIE ตลอดจนการ นำแนวทาง One World One Health มาแปลงเป็นยุทธศาสตร์ในด้านปศุสัตว์และประมงของประเทศรวมทั้งการพัฒนาบุคลากร ทางด้านสัตวแพทย์ สัตวบาล นักวิชาการ สาขาต่างๆ อย่างพอเพียงต่อเศรษฐกิจการ ปศุสัตว์และประมงของประเทศไทย
ก่อนจะจบ นายยุคล กล่าวทิ้งท้ายว่า "พลวัตของการพัฒนาด้านการปศุสัตว์ และประมงที่ผ่านมานั้นจะเกิดขึ้นได้และสร้างคุณค่าให้แก่ผู้บริโภคได้นั้น จะต้องอาศัย ความร่วมมือจากทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ผู้ประกอบการ ภาคประชาชนผู้บริโภค ภาค นักวิชาการที่ไม่มีขีดจำกัดทางด้านพรมแดน ผ่านกลไกการพัฒนาและความก้าวหน้าทาง ด้านวิทยาศาสตร์เทคโนโลยี และความก้าวหน้าของคอมพิวเตอร์ที่ซึ่งจะทำให้เราสามารถ เชื่อมโยงองค์ความรู้และวัฒนธรรมในการ ผลิตและบริโภคให้เป็นหนึ่งเดียว"


บริษัท สมาร์ท โกลด์ มีเดีย กรุ๊ป จำกัด SMART GOLD MEDIA GROUP CO.,LTD. ติดต่อสอบถาม โทร : 0893284192 , ID Line : @siamturakij และ ฝ่ายโฆษณา siamturakijadvertising@gmail.com
© 2013 สยามธุรกิจ