นาย พิรุณโรจน์ ไกรสุรพงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอ็นบีดี เฮลท์แคร์ จำกัด กล่าวว่า ยุคสมัยนี้ ไม่ว่าเด็ก ผู้ใหญ่ หรือแม้แต่ผู้สูงวัย ต่างก็มีความต้องการใช้สินค้าและบริการต่างๆเกี่ยวกับด้านสุขภาพและความงาม ซึ่ง NBD Healthcare มีความมุ่งมั่นตั้งใจที่จะนำผลิตภัณฑ์คุณภาพมาตอบโจทย์และช่วยแก้ไขปัญหาเรื่องสุขภาพที่หลากหลาย โดยจะเน้นไปที่ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารและเวชสำอาง และในปีนี้เราก็มีความตั้งใจ ในการหาผลิตภัณฑ์ใหม่ที่ช่วยตอบโจทย์คนวัยทำงาน คนออกกำลังกาย หรือผู้ที่เล่นกีฬาหนัก และคนที่ใช้แรงงาน
ล่าสุด เราจึงได้เปิดตัวผลิตภัณฑ์แผ่นแปะบรรเทาอาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ นำเข้ามาจัดจำหน่ายภายใต้ ตราสินค้า Pharmica Plaster อย่างเป็นทางการ ซึ่งเราได้ค้นพบว่าแผ่นแปะบรรเทาปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ เคล็ดขัดยอก สูตรต้นตำรับจากประเทศไต้หวันนี้ มีประสิทธิภาพดีเป็นอย่างมาก สำหรับผลิตภัณฑ์นี้มีจุดเด่นและแตกต่างจากผลิตภัณฑ์ทั่วไปในท้องตลาด ซึ่งมีอยู่ด้วยกัน 2 สูตร คือสูตรวอร์ม และสูตรคูล สินค้าของเราผลิตและส่งตรงจากประเทศไต้หวัน อีกทั้ง มีระบบการผลิตที่ได้มาตรฐานจากโรงงานที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 2 ของประเทศ และได้รับมาตราฐานการผลิต PIC/S GMP ระดับสากล ทั้งยังเป็นที่ยอมรับด้วยมาตราฐานของอย.ไทยอีกด้วยแผ่นแปะ Pharmica เป็นสูตรต้นตำรับที่ผสานแพทย์แผนจีนที่ผสมผสานกับเทคโนโลยีสมัยใหม่เข้ามา เพื่อให้สินค้าตอบโจทย์การใช้งานต่อผู้ใช้มากขึ้น ทั้งยังนำเทคโนโลยี ไฮโดรเจล (Hydrogel Technology) มาใช้ในแผ่นแปะร่วมด้วย ทำให้ตัวยาทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ภายใต้สโลแกน “ติดแน่น แผ่นใหญ่ คลายปวดเมื่อย”
อีกทั้งเรายังได้เลือกคุณนีโน่-เมทนี บูรณศิริ มาเป็นพรีเซ็นเตอร์ให้กับ Pharmica Plaster เราอีกด้วย เนื่องจากเราเล็งเห็นว่าจะสามารถทำให้คนทุกเพศทุกวัยจดจำสินค้าได้อย่างรวดเร็ว เพราะคุณนีโน่ถือเป็นตัวพ่อในวงการบันเทิง เป็นตำนานที่มีชื่อเสียง และเป็นที่รู้จักของคนหลายเจน อีกทั้ง มีบุคลิก ไลฟ์สไตล์ ที่สอดคล้องกับผลิตภัณฑ์แผ่นแปะบรรเทาปวด Pharmica ของเราเป็นอย่างดี”
ด้าน ดร.สมศักดิ์ กวีไตรภพ ประธานเจ้าหน้าที่สายงานการขายและการตลาด บริษัท เอ็นบีดี เฮลท์แคร์ จำกัด กล่าวต่อว่า สำหรับภาพรวมตลาดในประเทศไทย ของผลิตภัณฑ์กลุ่มยาบรรเทาแก้ปวดเมื่อย รวมมูลค่ากว่า 1,500 ล้านบาท แบ่งเป็น ครีมและน้ำมันนวดแก้ปวด 50% และ พลาสเตอร์ แผ่นแปะบรรเทาปวดอีก 50% โดยเราเล็งเห็นโอกาสเติบโตในธุรกิจนี้ จึงได้มีการนำเข้ามาจำหน่าย โดยตั้งเป้าในระยะสั้น หวังครองส่วนแบ่งทางการตลาด 5% ยอดขาย 40 ล้านบาทภายใน 1 ปี และเป้าในระยะยาว ครองส่วนแบ่งตลาด 20% ทำยอดขาย 100 ล้านบาท ภายในปี 2567