นายสมชาย อัศวปิยานนท์ กรรมการผู้อำนวยการ บริษัท เอ็นเอสแอล ฟู้ดส์ จำกัด (มหาชน) หรือ ‘NSL’ ผู้ผลิตและจำหน่ายอาหารสำเร็จรูป (เบเกอรี่ ขนมขบเคี้ยว) นำเข้าและจำหน่ายเนื้อสัตว์และผักแช่แข็ง กล่าวว่า สำหรับแผนธุรกิจในระยะเวลา 5 ปี (2564-2568) จะขยายพอร์ตธุรกิจใหม่ผ่านกลยุทธ์ Nutrition Sustainable for Life ซึ่งเป็นการมุ่งการผลิตอาหารและเติบโตอย่างยั่งยืน ด้วยนวัตกรรมการผลิตของบริษัทฯ เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตผู้บริโภค สภาพเศรษฐกิจและสังคมที่เปลี่ยนแปลงไปในยุคโควิด-19 ทำให้บริษัทฯ มีการศึกษาตลาดอย่างต่อเนื่อง เพื่อวางแผนการลงทุนให้เหมาะกับสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วนี้ โดบบริษัทฯ ได้วางกลยุทธ์ร่วมกับร้านสะดวกซื้อเซเว่น อีเลฟเว่นคือ การเสริมสินค้าในรูปแบบของเดลิเวอรี่และสินค้าที่ขายใน vending machine มีสินค้าอยู่ประมาณ 40 ตัว ซึ่งจะต้องมีการสลับและพัฒนาใหม่อยู่เสมอ มีการเรียนรู้และปรับตัวไปพร้อมกับเทรนด์ของตลาดได้อย่างรวดเร็ว
นอกจากนี้ ยังมีการขยายธุรกิจประเภท ฟู้ดเซอร์วิส นำเข้าอาหารทะเล เนื้อสัตว์และผักแช่แข็ง โดยเมื่อปี 2562 NSLได้เข้าซื้อกิจการจาก บริษัท ควอลิตี้ฟู้ด สเปเชียลตี้ จำกัด เข้ามาเป็นแผนกหนึ่งของบริษัทฯ ส่วนทิศทางในปี 2564 จะมีการเพิ่มในส่วนของสูตรปรุงอาหารสำหรับเชนร้านอาหารในลักษณะ ready to eat หรือ ready to cook มากขึ้น และล่าสุดพัฒนาสแน็คนวัตกรรมเพื่อเจาะกลุ่มคนรักสุขภาพ มุ่งส่งออกไปจำหน่ายในต่างประเทศ และวางขายในซูเปอร์มาร์เก็ตในไทย ภายในไตรมาส 2 ของปีนี้ โดยบริษัทฯ ตั้งเป้าเติบโตด้านรายได้ไม่ต่ำกว่า 6,000 ล้านบาท ภายในเวลา 5 ปี โดยมีเป้าหมายสัดส่วนรายได้ใน 5 ปีข้างหน้า (2564-2568) ที่เกิดจากธุรกิจอื่น (non 7-Eleven) ในสัดส่วน 30 % และอีก 70 % เป็นธุรกิจร่วมกับร้านเซเว่นอีเลฟเว่น (7-Eleven) จากปัจจุบันสัดส่วนรายได้จากร้านเซเว่นอีเลฟเว่น ครองสัดส่วนรายได้อยู่ที่กว่า 90 %
“เราไม่ได้มองว่าการที่เราทำธุรกิจกับเซเว่นอีเลฟเว่นเป็นความเสี่ยง แต่เป็นการพัฒนาและเติบโตไปพร้อมๆ กันอย่างมั่นคง ที่ผ่านมาเอ็นเอสแอล ฟู้ดส์ได้มีการลงนามบันทึกความตกลงร่วมกันกับทางเซเว่นอีเลฟเว่น ว่าจะเป็นผู้ผลิตแซนวิชอบร้อนให้เซเว่นอีเลฟเว่นเพียงรายเดียว ในขณะเดียวกันก็ไม่ผลิตให้ร้านสะดวกซื้อรายอื่น ซึ่งเป็นสินค้าที่ได้รับความนิยมและขายดีเป็นอันดับ 1 มีกำลังการผลิตมากกว่า 1,250,000 ชิ้นต่อวัน ในขณะเดียวกัน เราก็กำลังพัฒนาแบรนด์สินค้าและธุรกิจของ NSL เองให้เป็นที่รู้จักในวงกว้างขึ้น โดยมีการกระจายการลงทุนไปสู่ธุรกิจอาหารในรูปแบบอื่น โดยใช้ระบบ System Application and Products (SAP) เพื่อบริหารจัดการการผลิตให้มีประสิทธิภาพสูงสุด
ทั้งนี้ บริษัทฯวางแผนธุรกิจในระยะเวลา 5 ปี นับจากนี้ว่า จะมีสัดส่วนรายได้ที่เกิดขึ้นใหม่จากร้านค้านอกเซเว่นอีเลฟเว่นมากขึ้นด้วย ปัจจุบันได้มีการผลิตขนมปังเนื้อนุ่ม และขนมปังโฮลวีทภายใต้ แบรนด์ Bakery Arigato จำหน่ายผ่านท็อปส์ซูเปอร์มาร์เก็ตและแฟมิลี่มาร์ท, ขนมพริกกรอบแบรนด์ ChiLee ที่จัดจำหน่ายในห้างสรรพสินค้าชั้นนำ รวมถึงส่งออกต่างประเทศ เป็นต้น”
สำหรับธุรกิจฟู้ด เซอร์วิส บริษัทฯ ได้ขยายการลงทุนเพิ่มเมื่อปี 2562 เนื่องจากเล็งเห็นโอกาสจากมูลค่าตลาดที่สูงถึง 20,000 ล้านบาท แต่ยังมีผู้เล่นรายใหญ่เพียงไม่กี่ราย เริ่มแรกจะเน้นนำเข้าสินค้าอาหารแช่แข็ง ได้แก่ เนื้อสัตว์แช่แข็ง อาทิ ปลาแซลมอน ปลาหิมะ เนื้อออสเตรเลีย หอยเชลล์ ส่วนในปีนี้มีการเพิ่มการลงทุนในส่วนของอาหารประเภท ready to cook และ ready to eat อาทิ การผลิตสูตรซอสอาหารสำเร็จรูปเพื่อส่งให้กับเชนร้านอาหารหรือโรงแรมต่างๆ เพื่อช่วยลดต้นทุนเนื่องจากไม่ต้องมีหัวหน้าพ่อครัว ให้บริการทุกร้านและสูตรของการให้บริการยังคงความเป็นมาตรฐานเดียวกันเนื่องจากบริษัทฯ มีความชำนาญและรู้แหล่งวัตถุดิบที่ดี พร้อมทั้งเชี่ยวชาญการแปรรูป พร้อมกันนี้ยังมีแผนขยายธุรกิจไปยังตลาดอาหารเพื่อสุขภาพ เนื่องจากมีแนวโน้มเติบโตมากขึ้น
โดยบริษัทฯ เตรียมแผนจะพัฒนาอาหารเพื่อสุขภาพเฉพาะกลุ่ม และอาหารสำหรับคนในแต่ละช่วงวัย ทั้งผู้สูงอายุและเด็ก ซึ่งจะเป็นอาหารที่มีสารอาหารครบถ้วน รวมไปถึงอาหารสำหรับผู้ป่วยที่เน้นรสชาติที่ถูกปากและความปลอดภัย จำหน่ายผ่านร้านโมเดิร์นเทรด คอนวีเนียนสโตร์ และผ่านช่องทางออนไลน์ เป็นต้น
“ปัจจุบันบริษัทฯได้ขยายตลาดสินค้าที่มีนวัตกรรม โดยได้เป็นพันธมิตรกับนักธุรกิจที่ทำแป้งโปรตีนสูงจากจิ้งหรีดใน จังหวัดเชียงใหม่เพื่อมุ่งเน้นส่งออกไปยังต่างประเทศเป็นสินค้าประเภทเบเกอรี่และขนมขบเคี้ยว นอกจากนี้เรายังมีแผนจะเพิ่มความหลากหลายของสแน็คเพื่อจับกลุ่มคนรักสุขภาพภายใต้แบรนด์ Natural Bites คาดว่าจะวางเริ่มวางจำหน่ายได้ในไตรมาส 2 ปี 2564” นายสมชายกล่าวเพิ่มเติม
สำหรับรายได้ในปี 2563 สิ้นสุดไตรมาส 3 เดือนกันยายน 2563 บริษัทมีรายได้รวม 2,164.9 ล้านบาท โดยกลุ่มของเบเกอรี่และอาหารรองท้องคิดเป็น 94.5 % ของรายได้ทั้งหมด ในส่วนของธุรกิจฟู้ด เซอร์วิสมีรายได้ 94.5 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 65 ล้านบาท เมื่อเทียบกับไตรมาส 3 ของปีก่อนหน้า เนื่องจากเพิ่งซื้อธุรกิจนี้เข้ามาในช่วงครึ่งหลังของปี 2562 ทั้งนี้ ในปี 2564 บริษัทฯ ตั้งเป้ายอดขายให้เติบโตมากขึ้นจากเดิม จากการเพิ่มผลิตภัณฑ์ การลงทุนในธุรกิจใหม่ๆ และการที่ธุรกิจเดิมเริ่มกลับมาเติบโตโดยตั้งเป้ารายได้ไม่ต่ำกว่า 3,500 ล้านบาท เติบโตประมาณ 16 % อีกทั้ง ขณะนี้บริษัทฯ อยู่ระหว่างเตรียมเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ในไตรมาส 2 ปี 2564 โดยมีบริษัท ที่ปรึกษา เอเซีย พลัส จำกัด เป็นที่ปรึกษาด้านการเงิน