JAK นำร่องหุ้นIPOตัวแรกของปี ปิดเทรดช่วงเช้า 2.08 บาท

วันจันทร์ที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2564

  JAK นำร่องหุ้นIPOตัวแรกของปี ปิดเทรดช่วงเช้า 2.08 บาท


“จักรไพศาล เอสเตท” ส่งหุ้นไอพีโอตัวแรกของปี 64 เข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ mai เปิดตลาดราคาวิ่งแตะ 2.26 บาท หรือสูงกว่าราคาจองที่ 1.45 บาท อยู่ 55.86%  ก่อนที่จะปิดตลาดช่วงเช้าที่ 2.08 บาท ผู้บริหารคาดผลงานกลับมาฟื้นตัว พร้อมทยอยรับรู้รายได้จากโครงการต่อเนื่อง

ผู้สื่อข่าวรยงานว่า หุ้นบมจ.จักรไพศาล เอสเตท (JAK) โดยทำการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ เอ็มเอไอ วันนี้ (18 ม.ค.) เป็นวันแรก โดยเปิดตลาดที่ 2.26 บาท ราคาขึ้นสูงสุด 2.36 บาท และราคาลงต่ำสุด 1.99 บาท  ก่อนที่จะมา ปิดเทรดช่วงเช้าที่ 2.08 บาท เพิ่มขึ้น 0.63 บาท (+43.45%) จากราคาขาย IPO 1.45 บาท/หุ้น มูลค่าซื้อขาย 387.68 ล้านบาท

นายวีระพันธ์ จักรไพศาล กรรมการผู้จัดการ บมจ.จักรไพศาล เอสเตท (JAK) เปิดเผยว่า บริษัทฯคาดผลการดำเนินงานในปี 64 จะเห็นการฟื้นตัวดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ เมื่อเทียบกับปีก่อน เนื่องจากในปี 63 ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ส่งผลต่อกำลังซื้อประชาชนปรับตัวลดลง แต่ปีนี้มองว่ากำลังซื้อน่าจะกลับมาดีขึ้นได้

บริษัทมีแผนเปิดตัวโครงการใหม่ 2 โครงการ แบ่งเป็น แนวราบใน จ.ชลบุรี มูลค่าราว 400 ล้านบาท คาดว่าจะก่อสร้างแล้วเสร็จและพร้อมขายได้ในช่วงไตรมาส 2/64 เป็นต้นไป และแนวราบในทำเลรังสิต จ.ปทุมธานี มูลค่าราว 400 ล้านบาท คาดว่าจะเริ่มก่อสร้างได้ในไตรมาส 3/64 และน่าจะไปรับรู้รายได้ในปี 65 เพื่อรองรับความต้องการที่อยู่อาศัยที่เพิ่มสูงขึ้น ซึ่งบริษัทฯ เชื่อมั่นว่าจะได้รับการตอบรับที่ดีจากลูกค้า จากโควิด-19 ระลอกใหม่ ทำให้มีความต้องการบ้านเดี่ยวมากขึ้น แม้ปัจจุบันจะมียอดปฎิเสธสินเชื่อในระบบค่อนข้างสูง แต่ลูกค้าของโครงการ JAK ถือว่ามีศักยภาพ

ปัจจุบันบริษัทฯยังมีโครงการจักรไพศาล 18 อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี, โครงการเฟิร์น เฟส 2 จ.ชลบุรี มูลค่า 413 ล้านบาท และโครงการไอดิลล์ จ.ชลบุรี มูล่า 587 ล้านบาท (โครงการร่วมทุนระหว่างบริษัท เอ็ม.ที.เอส.พัฒนาสินทรัพย์ จำกัด ซึ่งบริษัทฯ ถือหุ้นในสัดส่วน 40%) มูลค่า 587 ล้านบาท  คาดว่าโครงการดังกล่าวจะสามารถทยอยรับรู้รายได้ตั้งแต่ปี 64 ไปจนถึงปี 65

"ภาพรวมอสังหาริมทรัพย์ในปีนี้ยังมีความต้องการบ้านเดี่ยวอย่างต่อเนื่อง แม้ภาวะเศรษฐกิจจะยังชะลอตัว และมีการแพร่ระบาดของโควิด-19 แต่เชื่อว่าบ้านยังเป็นปัจจัย 4 ยังมีการเติบโตจากการสร้างครอบครัว ขณะที่เราก็มีข้อได้เปรียบจากที่มีการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในแถบ EEC รวมถึงเรายังมีที่ดินในมือที่พร้อมจะพัฒนา เมื่อเศรษฐกิจปรับตัวดีขึ้นกว่านี้ เช่น ที่ดินซอยนวลจันทร์ กรุงเทพฯ จำนวน 2 ไร่ ก็มีแผนใช้ทำโครงการในอนาคต, ที่ดินย่านรังสิต ปทุมธานี ที่จะใช้พัฒนาโครงการแนวราบในปีนี้ ก็อยู่ใกล้กับสถานีรถไฟฟ้าสายสีแดง" นายวีระพันธ์ กล่าว

ทั้งนี้ ภายหลังจากการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ในวันนี้แล้ว บริษัทเตรียมนำเงินที่ได้จากการระดมทุนไปขยายกิจการ จำนวน 60 ล้านบาท ส่วนที่เหลือจะใช้ในการชำระคืนหนี้จากสถาบันทางการเงิน ส่งผลทำให้ต้นทุนทางการเงินลดลง โดยคาดว่าจะมีหนี้สินต่อทุน (D/E) ลดลงเหลือต่ำกว่า 0.5 เท่า จากปัจจุบันอยู่ที่ 0.6-0.5 เท่า และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในบริษัทฯ



บริษัท สมาร์ท โกลด์ มีเดีย กรุ๊ป จำกัด SMART GOLD MEDIA GROUP CO.,LTD. ติดต่อสอบถาม ID Line : @siamturakij และ ฝ่ายโฆษณา siamturakijadvertising@gmail.com
© 2013 สยามธุรกิจ