สยามธุรกิจวิเคราะห์

เมื่อวันที่ 5 กันยายนที่ผ่านมา ศูนย์วิจัยมหาวิทยาลัยกรุงเทพ หรือ “กรุงเทพโพลล์” ได้สำรวจความคิดเห็นประชาชน เรื่อง “ความเชื่อมั่นต่อรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ ในการแก้ปัญหาคอร์รัปชั่นในสังคมไทย” พบว่า ส่วนใหญ่เชื่อว่าปัญหาการทุจริตคอร์รัปชั่นค่อยๆ ดีขึ้น หลัง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นผู้นำประเทศ พร้อมทั้งชื่นชมภาพลักษณ์ของคณะรัฐมนตรี (ครม.) ที่มีความโปร่งใสกว่ายุคที่ผ่านมา นอกจากนี้ ยังเชื่อมั่นว่า สมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) จะเข้ามาช่วยแก้ปัญหาการคอร์รัปชั่นได้ และปัญหาคอร์รัปชั่นหลังยุค พล.อ.ประยุทธ์ จะลดลง

โดยประชาชนส่วนใหญ่ร้อยละ 78.5 เชื่อว่า หลังจาก พล.อ.ประยุทธ์ เข้ามาทำหน้าที่ผู้นำ ประเทศในช่วงที่ผ่านมา ทำให้การแก้ปัญหาการทุจริตคอร์รัปชั่นในปัจจุบันค่อยๆ ดีขึ้น

สำหรับ “ภาพลักษณ์” ของ ครม.ใน “รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์” ในเรื่องทุจริตคอร์รัปชั่นเมื่อเปรียบเทียบกับ ครม.ยุคที่ผ่านมา ประชาชนส่วนใหญ่เห็นว่าดีกว่าที่ผ่านมามาก ส่วน “ความเชื่อมั่น” ต่อรัฐบาลในการแก้ปัญหาคอร์รัปชั่นในสังคมไทยให้มีภาพ-ลักษณ์ที่ดีขึ้นได้ ประชาชนส่วในหญ่ 69.8% เชื่อมั่นค่อนข้างมากถึงมากที่สุด

ขณะที่ผลสำรวจ ความคิดเห็นประชาชน เรื่อง “โฉมหน้า ครม. พล.อ.ประยุทธ์ ความเชื่อมั่นและความคาดหวังของประชาชน” จาก “กรุงเทพโพลล์” ที่ออกมาก่อนหน้านี้ ปรากฏว่าผู้ตอบแบบสำรวจส่วนใหญ่ร้อยละ 86.5 เชื่อมั่นในความรู้ความสามารถของพล.อ. ประยุทธ์ ในฐานะหัวหน้า คสช. ขณะที่ร้อยละ 74.4 เชื่อมั่นต่อความรู้ความสามารถของรัฐมนตรีใหม่ เช่นเดียวกับทีมเศรษฐกิจ ที่ประชาชนส่วนใหญ่ร้อยละ 68.2 มีความเชื่อมั่นในความรู้ความสามารถ

จากผลโพลเช่นนี้ ทำให้ดูเหมือนว่า “รัฐบาลประยุทธ์1” จะประเดิมการทำงานด้วย “ต้นทุน” ที่สวยหรู หากแต่ในมุมกลับกัน นั่นก็หมายถึงว่ารัฐบาลประยุทธ์ 1 ก็ต้อง “แบก” ความคาดหวังของคนไทยไว้เต็มเปี่ยมด้วยเช่นกัน!!

โดยเฉพาะกับคำถามที่ว่า “สิ่งแรกที่ประชาชนอยากให้คณะรัฐมนตรีชุดใหม่ทำมากที่สุด” นั้นพบว่า ร้อยละ 39.5 อยากให้แก้ปัญหาเศรษฐกิจ ค่าครองชีพ สินค้าอุปโภคบริโภคราคาแพง รองลงมา ร้อยละ 16.8 ระบุอยากให้แก้ปัญหาราคาสินค้าเกษตรตกต่ำ เช่น ข้าว ยางพารา

ทั้งหมดนี้ ล้วนแล้วแต่ “โจทย์หิน” ที่เห็นรออยู่ตรงหน้า!!

แต่นั่นก็ยังไม่สำคัญเท่ากับว่า “สัญญาณ” เตือนสถานการณ์เป็นรัฐบาลนั้น ไม่ศักดิ์สิทธิ์เหมือนตอนเป็น คสช.ที่ถืออำนาจพิเศษ ครอบ-คลุมทุกเรื่อง ไม่มีใครกล้าบ่น หรือออกมาวิพากษ์วิจารณ์ก็เริ่มมีการจับตา รวมทั้งวิจารณ์กันให้เห็น

จากกรณีที่พล.อ.ประยุทธ์ พูดเป็น “นัย” ว่าจะไม่มีการกำหนดระยะเวลาการทำงานของรัฐบาลชุดใหม่ ก็มีการแปลความกันทันทีว่า เป็นการ “เปิดทางล่วงหน้า” ในการอยู่ในตำแหน่งทางการเมือง

คนที่ออกตัวแรงเลยก็คือ “นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ออกมาขัดคอนายกฯ ประยุทธ์เป็นคนแรกเลยว่า ทุกอย่างต้องเป็นไปตามรัฐธรรมนูญ แม้จะมีการเปิดช่องว่า หากร่างรัฐธรรมนูญไม่เสร็จ ก็สามารถร่างใหม่ได้ โดยไม่มีกรอบเวลา

นี่ยังไม่นับการต้อนรับ “น้องใหม่” ของกลุ่มม็อบอย่าง “เครือข่ายม็อบขาหุ้นพลัง งาน” แนวร่วมกลุ่มพันธมิตรฯ แสดงปฏิกิริยา “ตอบโต้” ทหารที่ควบคุมตัวแกนนำม็อบขาหุ้นพลังงานไว้ในค่ายฐานเคลื่อนไหวฝ่าฝืนกฎอัยการศึก ตามด้วยอาการ “ขยับ” ของ “ม็อบยางพารา” ในภาคใต้ ที่เคลื่อนไหวระดมมวลชน จ่อนัดปิดถนนประท้วงการแก้ปัญหาราคายางตกต่ำ รวมทั้งกระแสกดดันให้ คสช.ยกเลิกกฎอัยการศึกหลังจากมีรัฐบาลใหม่ เนื่องจากมีผลกระทบต่อธุรกิจการท่องเที่ยวของประเทศ

แม้ล่าสุด “เวิลด์อีโคโนมิกฟอรั่ม” ได้รายงานผลสำรวจดัชนีความสามารถในการแข่งขัน 144 ประเทศทั่วโลก ประจำปี 2557-2558 ปรากฏว่าประเทศไทยของเราอันดับดีขึ้น 6 อันดับอยู่ที่ 31 ของโลก อันเป็นผลมาจากการปกป้องนักลงทุน เสถียรภาพเงินเฟ้อ อันดับความน่าเชื่อถือจากการจัดเรตติ้ง การเอาใจใส่ลูกค้า

แต่ก็มีตัวฉุดรั้งอยู่บ้าง โดยเฉพาะ “ความเชื่อถือในตัวนักการเมือง” ที่วันนี้ไม่รู้ว่านักการเมืองจะสำนึกหรือไม่ ตามมาด้วยสัดส่วนหนี้รัฐต่อจีดีพี คุณภาพการศึกษา เป็นต้น อย่างไรก็ตาม “คอร์รัปชั่น” ถือว่าเป็นปัญหามากที่สุดมากกว่าความไร้เสถียรภาพทางการเมือง ความไร้ศักยภาพของข้าราชการ ความไม่ต่อเนื่องในนโยบายรัฐบาล

ทั้งนี้ ผลกระทบจากการคอร์รัปชั่นในบ้านเราคงคล้ายๆ บริบทโลก โดยในรายงานระดับโลกระบุว่า คอร์รัปชั่นทั่วโลกแต่ละปีมีมูลค่า 30 ล้านล้านดอลลาร์ มีคนตายเพราะคอร์รัปชั่น ปีละ 3.3 ล้านคน ทำให้คนต้องขาดการศึกษาหลายล้านคน หรือในแวดวงสาธารณสุขหากไม่มีการโกง คนจะเข้าถึงการรักษามากขึ้นและตายน้อยลง อุบัติเหตุบนถนนคนตายนับหมื่นคนทุกปี เพราะถนนไม่ได้มาตรฐานเนื่องจากทุจริต หากในกระทรวงศึกษาฯ ผู้บริหารโรงเรียนไม่โกง การศึกษาของเด็กๆ ก็จะมีคุณภาพกว่านี้

อย่างไรก็ตาม คนที่ทุจริตคอร์รัปชั่นไม่ได้มีแต่นักการเมืองเท่านั้น แต่เกือบทุกอาชีพล้วนเกี่ยวข้อง มีทั้งข้าราชการ นักธุรกิจ พ่อค้าประชาชน ผู้บริหารรัฐวิสาหกิจ ในวงการ ทหาร ตำรวจ หมอ ครูบาอาจารย์ จนถึงคนในกระบวนการยุติธรรม

หากจำได้ เงื่อนไขหนึ่งที่ คณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ หรือ “คสช.” หยิบยกขึ้นมาอ้างในการยึดอำนาจรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง คือ ปัญหาทุจริตคอร์รัปชั่น ที่ล่าสุด “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” นายกรัฐมนตรี กล่าวปาฐกถาในงาน “วันต่อต้านคอร์รัปชั่น 2557” เมื่อวันที่ 6 กันยายนที่ผ่านมา โดยระบุว่า ปีนี้ เป็นปีแห่งการปฏิรูปประเทศไทย รัฐบาลและคสช.ให้ความสำคัญและกำหนดให้การแก้ไขการทุจริตคอร์รัปชั่น อยู่ในทุกหัวข้อการปฏิรูป ถือเป็นวาระแห่งชาติเป็นหัวใจสำคัญของการปฏิรูปประเทศ

รัฐบาลถือเป็นประเด็นแรกที่ต้องแก้ไข เร่งด่วนให้มีผลเป็นรูปธรรม หากปล่อยไว้จะสร้างค่านิยมผิดๆ ให้เยาวชน ทั้งนี้ ลำพังรัฐบาลอย่างเดียวไม่สามารถแก้ปัญหาได้ทั้งหมด ต้องอาศัยทุกภาคส่วนสร้างทุกระบบให้ เข้มแข็ง เพื่อต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชั่น พร้อมกับแนะให้ข้าราชการยึดแนวทางพอเพียง

แต่ตอนนี้หลายๆ คนชักเป็นห่วงว่าจะเอาจริงแค่ไหนดูเหมือนเรื่องนี้ถูกพูดถึงน้อยลงเรื่อยๆ และยังไม่เห็นตัวอย่างการปราบคอร์รัปชั่นอย่างเป็นรูปธรรมจริงๆ

ทั้ง คสช. สนช. สปช. และรัฐบาลใหม่ ถ้าปฏิรูปคอร์รัปชั่นไม่สำเร็จถือว่าล้มเหลว เสียของ เสียเวลา และเสียโอกาสประเทศชนิดไม่มีโอกาสแก้ตัวอีกแล้ว!!