นาย วิชา พูลวรลักษณ์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ในปี 2563 จากเหตุการ์วิกฤตการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ทำให้ธุรกิจโรงภาพยนตร์ต้องปิดบริการชั่วคราว สำหรับเมเจอร์รายได้ช่วงปิดให้บริการหายไป พบว่า ช่วง 9 เดือน ปี 2563 เมเจอร์มีรายได้รวม 2,879.67 ล้านบาท และขาดทุน 855.02 ล้านบาทด้วยกัน ซึ่งถือเป็นครั้งแรกที่เมเจอร์ฯต้องขาดทุนเกือบพันล้าน ในรอบ 20 กว่าปีนับตั้งแต่เข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ ซึ่งเราก็ต้องยอมรับว่าทุกภาคส่วนโดนผลกระทบกันทั้งหมด แต่ภายหลังจากที่โรงภาพยนตร์กลับมาเปิดได้ปกติเราคิดว่าเมื่อโรงภาพยนตร์กลับมาเปิดให้บริการ หนังก็สามารถกลับมาฉายได้ทันที แต่เรากลับพบปัญหาคืออเมริกาเจอการระบาดโควิดอย่างหนักทำให้หนังฟอร์มยักษ์ฮอลลีวู้ดที่จะเข้าปีนี้เลื่อนฉายออกไปหมดจากที่เรากังวลว่าโรคระบาดอาจทำให้คนไม่อยากดูภาพยนตร์ในโรง แต่จริงๆ แล้วไม่ใช่ เพราะคนยังอยากมาดูภาพยนตร์ในโรงแต่ปัญหาคือไม่มีภาพยนตร์ให้ดู และจากเหตุการณ์นี้ถือเป็นบทเรียนครั้งสำคัญของธุรกิจโรงภาพยนตร์และอุตสาหกรรมภาพยนตร์ที่ต้องถอดบทเรียนกับสิ่งที่เกิดขึ้น จากนี้ไปการดำเนินธุรกิจจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปเป็นปีที่ท้าทายของทุกธุรกิจ ซึ่งอยู่เหนือการคาดเดาและการควบคุม ไม่มีอะไรแน่นอน
ดังนั้น บริษัทจึงต้องรีบ Transform องค์กรและปรับโครงสร้างการทำงานใหม่เป็น Total Digital Organization และสร้าง Business Model ให้แข็งแรง ภายใต้กลยุทธ์ 3 T ดังนี้ 1.Thai Movie โดยที่ผ่านมาในช่วงสถานการณ์วิกฤตของโควิด-19 ภาพยนตร์ไทยกลายเป็นคอนเทนต์หลักที่ช่วยให้ธุรกิจโรงภาพยนตร์สามารถผ่านจุดวิกฤต โดยมีภาพยนตร์ไทย 3 เรื่องที่ทำให้ภาพยนตร์ไทยกลับมาคึกคักอีกครั้งนั่นคือ ภาพยนตร์เรื่อง มนต์รักดอกผักบุ้ง, เลิกคุยทั้งอำเภอ ที่สามารถตอบโจทย์คนดูทางภาคใต้ ทำรายได้ไปถึง 43 ล้านบาท ตามมาด้วย อีเรียมซิ่ง ซึ่งขณะนี้กวาดรายได้ไปแล้ว 200 ล้านบาท
“หากคอนเทนต์ทำได้น่าสนใจและโดนใจคนดู คนก็จะออกมาดูภาพยนตร์ ดังนั้นเมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป จึง Rethink ด้วยการให้ความสำคัญในการพัฒนา ส่งเสริม สนับสนุน และผลักดันให้บริษัทผลิตภาพยนตร์ผลิตภาพยนตร์ไทยเข้าฉายในโรงภาพยนตร์ เนื่องจาก “เมื่อตลาดโรงภาพยนตร์โลกขาดสินค้าหรือคอนเทนต์ที่เป็นภาพยนตร์ฮอลลีวูดเข้าฉาย แต่หากเรามีภาพยนตร์ Local Film ที่สร้างเอง ก็จะทำให้มีคอนเทนต์ป้อนตลาด โดยไม่ต้องรอภาพยนตร์ฮอลลีวูด อีกทั้ง ยังสามารถส่งออกไปขายยังตลาดกลุ่มประเทศ CLMV และตลาดโลกได้ และส่งผลให้ธุรกิจภาพยนตร์ไทยและธุรกิจโรงภาพยนตร์เติบโตควบคู่กันไปอย่างยั่งยืน หวังให้ภาพยนตร์ไทยเติบโตมี มาร์เก็ตแชร์ 50% เพื่อพัฒนาก้าวสู่ Tollywood of The World โดยปีหน้าเมเจอร์จะใช้เงิน 350-400 ล้านบาท สำหรับการลงทุนสร้างภาพยนตร์ไทยประมาณ 20-25 เรื่อง จากบริษัทผลิตภาพยนตร์ไทยในเครือเมเจอร์ 6 ค่าย ได้แก่ M Pictures, M39, Transformation Film, CJ MAJOR Entertainment, TAI MAJOR และรฤก โปรดั๊กชั่น ซึ่งเป็นการผลิตเพิ่มขึ้นเท่าตัวจากที่เคยผลิตเพียงปีละ 10-12 เรื่อง”
อย่างไรก็ตาม การเป็นคอนเทนต์โปรไวเดอร์ของเมเจอร์คือการทำรายได้จากภาพยนตร์ที่ตัวเองสร้างขึ้น โดยการขายภาพยนตร์ไทยทุกเรื่องหลังจากออกโรงแล้ว 3 เดือนให้กับสตรีมมิงที่กำลังเติบโต ที่มองว่าจะเป็นอีกหนึ่งช่องทางสร้างรายได้ใหม่ที่จะเข้ามาทดแทนส่วนอื่นๆ ที่น้อยลงไป โดยเฉพาะในส่วนของ DVD และ VCD ส่วนการขายของเมเจอร์นั้นขายให้กับทุกค่ายที่เสนอราคาสูงที่สุด ซึ่งที่ผ่านมามีขายไปยัง Netflix บ้างแล้ว T ตัวที่ 2 คือ Technology โดยเมเจอร์ได้วางงบ 200 ล้านบาทสำหรับลงทุนเรื่องนี้ โดยมีเป้าหมายในการนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่ทันสมัยเข้ามาเติมเต็มในการให้บริการมากขึ้น T ตัวที่ 3 คือ Trading ซึ่งถือเป็นธุรกิจใหม่ซึ่งเกิดจากการขายป๊อปคอร์นทางออนไลน์ในช่วงที่โรงหนังต้องปิดเราจึงนำมาต่อยอดขยายไลน์สินค้าป๊อปคอร์นด้วยการเปิดตัวป๊อปคอร์นพรีเมียม POPSTAR ซึ่งมีทั้ง ป๊อปคอร์นแบบซอง, สำหรับอบเองที่บ้าน และบรรจุกระป๋องสำหรับซื้อเป็นของฝาก เบื้องต้นยังวางขายอยู่ในโรงภาพยนตร์ของเมเจอร์ แต่ในอนาคตวางแผนจะขยายช่องทางการเข้าไปในอีเวนต์ต่าง ๆ เช่น กีฬา, คอนเสิร์ต, Pop To Go ในห้างสรรพสินค้า ในซูเปอร์มาร์เก็ต เป็นต้น โดยเราตั้งเป้ารายได้จากธุรกิจ Trading คิดเป็นสัดส่วนราว 10% จากรายได้ของป๊อปคอร์นที่ขายได้ราว 2,000 ล้านบาท
นายวิชา ได้กล่าวต่อถึงแผนการตลาดในปี 2564 ว่า จะทำการตลาดแบบ Convergence โดยทำ ON-GROUND ควบคู่ไปกับ ONLINE จากความสำเร็จของการเติบโตของ M PASS ซึ่งถือว่า เป็น O2O Platform ที่มีความสะดวกสามารถสมัครผ่านออนไลน์ ทำให้ลูกค้ามาดูภาพยนตร์ที่โรงเติบโตมากถึง 100,000 Member และมียอดสมัครใหม่มากกว่าเดือนละ 30,000 คน มีการใช้ดาต้าเบสเพื่อหาลูกค้ากลุ่มใหม่ผ่านเครื่องมือ GA360 เพื่อใช้ Application ในการนำเสนอโปรโมชั่นดิจิตอล หรือ M VOUCHER ให้ตรงใจกับลูกค้ามากยิ่งขึ้น สำหรับแผนการขยายสาขาในปี 2564 เมเจอร์จะลงทุนขยายสาขาในต่างจังหวัด 8 สาขา 24 โรง และสาขาในกัมพูชาอีก 2 สาขา 6 โรง ด้วยงบประลงทุนรวม 200 ล้านบาท ปัจจุบันเมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป มีสาขาที่เปิดให้บริการรวมทั้งสิ้น 172 สาขา 817 โรง 185,874 ที่นั่ง